ธรรมชาติของ สรีระ ร่างกายมนุษย์ ถูกออกแบบมาเพื่อให้เคลื่อนไหว ไม่ใช่นั่งทำงานอยู่กับที่วันละ 8-10 ชั่วโมง โดยไม่ได้ขยับตัวเลย ก็ขนาดเวลาที่นอนหลับพักผ่อน ระบบอัตโนมัติยังต้องให้เราพลิกซ้าย พลิกขวา เพื่อให้เลือดลมได้เกิดการไหลเวียน เช่นเดียวกัน สำหรับผู้ป่วยติดเตียง หากไม่พลิกตัวบ้าง จะเกิดแผลกดทับซึ่งร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้เลย แต่ในเมื่อรูปแบบการใช้ชีวิตแปรเปลี่ยนไป เราจึงควรหันมาออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายได้เกิดการหมุนเวียนของเสียออกไปผ่านทางเหงื่อ ทั้งอวัยวะภายใน รวมทั้งภูมิคุ้มกัน ได้ถูกกระตุ้น ทั้งทำงานสอดประสานเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้นด้วย สำหรับสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะในสมัยดึกดำบรรพ์ “การวิ่ง” คือ ความเป็น ความตาย เพราะหากคุณวิ่งช้า คุณอาจตกเป็นเหยื่อสัตว์กินเนื้อ หรือก็ไม่อาจล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารได้ การวิ่งจึงเป็นระบบที่ถูกติดตั้งให้อยู่คู่กับร่างกายมาตั้งแต่เกิดแล้ว สังเกตเด็กเล็กๆ ไหมครับ พวกเขาวิ่งกันได้อย่างร่าเริง และเป็นธรรมชาติมากๆ จนเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่นี่ล่ะครับ เราก็ไม่ค่อยได้วิ่งกันเท่าไหร่แล้ว นอกจากโอกาสในการออกกำลังกาย แต่การวิ่ง ไม่เคยห่างหายไปจากผู้สนใจเรื่องการดูแลสุขภาพทั่วโลกเลยครับ ข่าวดีก็คือ ผมสังเกตว่า เดี๋ยวนี้เทรนด์เรื่องการดูแลสุขภาพของคนไทย เริ่มกลับไปสู่พื้นฐานดั้งเดิมอีกครั้ง ประโยชน์ของการวิ่งนั้น มีมากมายหลายประการ แต่วันนี้ เรามาวิเคราะห์กันว่าทำไม คนไทยถึงหันมาวิ่งมากขึ้นกันนะครับ 1.พี่ตูน การออกวิ่ง 2,215 กิโลเมตร จากใต้สุดไปเหนือสุด เพื่อระดมทุนให้กับโรงพยาบาลของ “พี่ตูน บอดี้สแลม” ในปี 2561 ได้เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ เป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลัง จนเกิดแรงบันดาลใจให้ผู้คนออกมาวิ่งตามกันเป็นจำนวนมาก หลังจากโครงการเสร็จสิ้นลง การวิ่งของพี่ตูนยังถูกนำมาถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์ รายการสารคดี และหนังสือ ได้อย่างเข้มข้น ทำให้เห็นเลยว่า พี่ตูน ต้องแลกอะไรหลายอย่างกว่าที่จะหาเงินเข้าโครงการได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม สารที่พี่ตูนสื่อออกมาว่า การวิ่งเพื่อดูแลสุขภาพ ก็มีส่วนในการช่วยเหลือโรงพยาบาล และสังคมได้ ยังมีผลต่อผู้คนอย่างมากอีกด้วย 2.ลงทุนไม่สูง ไม่เหมือนการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ อย่างการไปออกที่ฟิตเนส คลาสโยคะ คุณต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน หรือ การขี่จักรยานก็ต้องมีทั้งจักรยาน พื้นที่ หมวก แถมยังต้องเสี่ยงภัยกับรถรามากกว่า ส่วนการวิ่งนั้น อย่างมากก็รองเท้าดีๆ ซักคู่ และ ก็มีพื้นที่จำนวนมากที่สามารถใช้วิ่งได้แถวๆ บ้าน คุณแค่มองหา ก็จะพบได้ไม่ยาก 3. แอปพลิเคชั่น เดี๋ยวนี้ มีแอปพลิเคชั่นฟรีในโทรศัพท์มือถือจำนวนมาก หรือ ในสมาร์ทวอตช์ที่มีหลายระดับราคา สามารถนำมาใช้วัดเวลา ระยะทาง ความเร็ว เพื่อให้เห็นความก้าวหน้าของตนเอง มนุษย์เราชอบการวัดผลเป็นตัวเลขครับ จึงรู้สึกสนุก และท้าทายในการได้เห็นว่า ตัวเองวิ่งเก่งขึ้น ดีขึ้นนั่นเอง 4.โซเชียลมีเดีย หลังจากได้ผลลัพธ์ของการวิ่งต่างๆ จากแอปพลิเคชั่นทั้งหลายแล้ว ยังสามารถนำมาโพสต์เพื่อเป็นแรงกระตุ้นทั้งตนเอง หรือเพื่อน ในโซเชียลมีเดียได้อีกด้วย อันนี้มีผลมากๆ ทางจิตวิทยาครับ ถ้าคนหันมาทำอะไรตามๆ กันใหม่ๆ อาจเรียกว่าเป็น แฟชั่น ซึ่งจะหดหายไปแน่ๆ แต่การวิ่งไม่ใช่แฟชั่นครับ มันเป็น เทรนด์ หมายถึงวิถีชีวิตที่เป็นที่นิยมแล้วครับ 5.โครงการต่างๆ โครงการวิ่งที่เรียกว่า มาราธอน ได้ถูกสร้างขึ้นทั่วประเทศเรียกว่า แทบทุกสัปดาห์ หรือโครงการ Virtual Run ที่ สามารถส่งผลวิ่งออนไลน์ และได้รับเหรียญ กับของที่ระลึก หากวิ่งที่ไหนก็ได้ในโลก ครบตามเกณฑ์ โดยมีค่าลงทะเบียนระดับร้อยบาท เรียกว่า ยิ่งกระตุ้นให้รู้สึกสนุก แถมได้ของรางวัลอีกด้วย แบบนี้ นักวิ่งชอบมากๆ 6.สุขภาพองค์รวมดีขึ้น การวิ่งนอกจากสุขภาพจะดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการก้าวข้ามความเป็นตัวตน ทลายความเชื่อหลายอย่าง ฝึกสมาธิ ฝึกการหายใจลึกๆ รวมทั้งได้เพื่อนมากขึ้นด้วย สิ่งที่ผมพบกับตนเอง คือ หากบริเวณนั้นไม่เคยมีใครมาวิ่งเลย ในช่วงแรก ผู้คนอาจมองด้วยสายตาเคลือบแคลง สุนัขก็เห่า แต่พอผมไปวิ่งบ่อยๆ เข้า ผู้คนจะรู้สึกเป็นมิตร มีคนส่งยิ้มให้ มีคนอื่นๆ ออกมาวิ่งตาม และสุนัขก็เลิกเห่าไปแล้ว พูดง่ายๆ ว่า ร่างกายดีขึ้นมาก จิตใจก็ดีขึ้นมาก แถมยังทำงานได้มีสมาธิขึ้นอีกด้วย 7.ใช้เวลาได้คุ้มค่า เมื่อก่อนผมเชื่อว่า การวิ่งไม่ควรฟังเพลง เพราะจะทำให้สมองรับภาระมากเกินไป จนทำให้เหนื่อยเร็ว แต่มีครั้งนึงที่มียูทูปที่อยากฟังมาก เลยตัดสินใจฟังไปด้วยระหว่างวิ่ง ปรากฏว่า ผมกลับเหนื่อยได้ช้าลง เพราะฟังเพลิน ไม่ได้โฟกัสกับระยะทางที่วิ่งอีกต่อไป หลังจากนั้น เลยฟังยูทูปบ้าง พ็อดคาสบ้าง เป็นการได้ความรู้ไปพร้อมๆ กันด้วย เจ๋งมากๆ เลยครับ เอาล่ะครับ การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ดีทั้งนั้น ลองเลือกให้เหมาะกับตัวเองดูครับ สำหรับผู้ไม่เคยวิ่งมาก่อน มันจะไม่ง่ายในช่วงแรกๆ หรอกครับ แต่มันจะดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ ท่านนะครับ เครดิต: ภาพพี่ตูนจาก HDTor.net ภาพประกอบอื่นๆ จาก pexels.com