เคยไหมที่รู้สึกง่วงนอนตอนกลางวัน หลังกินอาหารเสร็จ รู้สึกอิ่ม พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน หรือพอเข้าช่วงบ่ายก็คล้ายจะหลับเสียให้ได้ แต่หากได้งีบสัก 10 นาทีก็กลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิมแล้ว คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หากอาการง่วงนอนผิดจากปกติทั่วไป คือง่วงนอนอย่างหนักเกือบทุก ๆ วัน โดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเกิดจากโรคต่าง ๆ ก็เป็นได้ วันนี้เราจะขอยกตัวอย่างกรณีของเรา ซึ่งเรามีการง่วงนอนตลอดเวลา โดยจะง่วงเป็นประจำช่วง 10 โมงกว่า ๆ และจะรู้สึกง่วงอีกครั้งตอนประมาณ บ่าย 2 โมง แต่พอตกดึก เรากลับไม่ง่วง หรือบางคืนรู้สึกง่วง แต่พอล้มตัวลงนอน กลับนอนไม่หลับ เราเลยไปหาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตถึงอาการของเรา ในกรณีของเราเข้าข่าย โรคนอนไม่หลับ โดยอาการของเรา ตรงกับอาการของโรคนอนไม่หลับในหลาย ๆ ข้อ ไม่ว่าจะเป็นการหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน ส่วนในตอนกลางวันกลับรู้สึกเพลีย ปวดหัวในบางครั้ง ไม่มีสมาธิ ง่วงซึมเป็นประจำทุกวัน และอาการเหล่านี้ ส่งผลให้เราเป็นคนที่อารมณ์โมโหง่าย โกรธคนง่าย และรู้สึกกังวลตลอดเวลา แต่เราต้องขอบอกก่อนว่า พื้นฐานเราเป็นคนที่คิดเยอะ กังวลกับทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่ เรามักจะเครียด และกังวลกับเรื่องงานบ่อยครั้ง โดยเราจะรู้สึกเครียดเวลาที่งานออกมาไม่ได้ดั่งใจ ด้วยสายงานของเราเป็นงานที่เกี่ยวกับการออกแบบ ทำให้เรารู้สึกกดดัน เวลาที่เราคิดงานไม่ออก และที่สำคัญ ด้วยความที่เราง่วงซึมบ่อย ๆ ในช่วงกลางวัน ทำให้เราต้องกินกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มชูกำลัง ในระหว่างทำงาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ต่างส่งผลให้เรานอนไม่หลับในเวลากลางคืน และผลเสียจากการที่เรานอนไม่หลับ นาน ๆ เข้า ทำให้เรากลายเป็นภูมิแพ้ค่ะ ตั้งแต่นั้น ชีวิตของเราเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ทุกเช้าหลังตื่นนอน เราจะจามเยอะมาก ตามมาด้วยน้ำมูก และหากวันไหนอากาศเปลี่ยน วันนั้นเราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ นอกจากจาม กับสั่งน้ำมูกค่ะ เราทนกับอาการแบบนี้มาหลายปี จนถึงวันที่เราไม่อยากจะเป็นแบบนั้นแล้ว เราจึงหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ว่าอาการแบบนี้ควรรักษาแบบไหน และควรดูแลตัวเองอย่างไร เราขอสรุปข้อที่สำคัญ ๆ และเป็นข้อที่เราสามารถทำได้จริงค่ะ มาให้เพื่อน ๆ ฟังดังนี้ค่ะ 1. ออกกำลังกาย : เราหันมาออกกำลังกาย โดยขอเลือกกีฬาที่เราสะดวกที่สุด คือ โยคะ ค่ะ เพราะเราสามาถเล่นในที่ทำงานได้เลย (เล่นหลังเลิกงานนะคะ) ก่อนจะได้เริ่มเล่นโยคะนั้น ขอบอกว่า ยากลำบากสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาช่วงหลังเลิกงานมาก แต่เพื่อตัวเราเอง เราเลยต้องแบ่งเวลางาน กับเวลาส่วนตัวออก เพราะถ้าเราไม่ทำแบบนั้น ร่างกายที่พังของเรา อาจกลับมาใช้งานได้ไม่ดีตามเดิม 2. ลดปริมาณการดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มชูกำลัง : ข้อนี้ก็เป็นส่วนสำคัญของสาเหตุการนอนไม่หลับของเรา เราเลยลดปริมาณการดื่มกาแฟ ชา และเครื่องดื่มชูกำลังลง แต่ยังไม่ถึงขั้นงดนะคะ แต่ถ้าใครที่งดได้ ก็จะดีมากค่ะ 3. เข้านอนให้เป็นเวลา : เราหันมาใส่ใจกับเวลานอนมากขึ้น โดยเราจะพยายามเข้านอนเป็นเวลา ไม่ทำงานดึกดื่นเหมือนแต่ก่อน ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ ก่อนนอน เพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกาย ต้องบอกว่า ช่วงแรกก็นอนไม่หลับเหมือนเดิม พลิกตัวไปมาหลายรอบกว่าจะเคลิ้ม แต่เราก็ทำแบบเดิมเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ดีขึ้นค่ะ ขอสรุปผลที่เราได้ลองทำมา 3 ข้อ ควบคู่กัน เรานอนหลับสนิทในตอนกลางคืนมากขึ้นค่ะ ส่งผลให้ช่วงกลางวัน เราง่วงน้อยลงมาก ๆ ขอบอกเพื่อน ๆ ก่อนว่า เราอยากลองที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองดูก่อน ถ้าผลออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ เราถึงจะไปหาหมอค่ะ ซึ่งผลที่ออกมาเป็นไปตามที่คาดหวังไว้ แต่ต้องทำควบคู่กันไป ทั้ง 3 ข้อนะคะ และในช่วงแรก เพื่อน ๆ อย่าเพิ่งไปกดดันตัวเองนะคะ ทำตัวให้สบาย ๆ ผ่อนคลาย แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเองค่ะ แต่หากเพื่อน ๆ คนไหน ลองทำแล้ว ยังไม่นอนไม่หลับเหมือนเดิม เราแนะนำให้ไปพบแพทย์นะคะ เพราะอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น หรืออาจเป็นโรคอื่น ที่ไม่ใช่โรคนอนไม่หลับก็ได้นะคะ สืบเนื่องจากครั้งที่เราค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนอนไม่หลับ ทำให้เรารู้ว่า การที่หลายคนมีอาการง่วง เหงา หาว นอน ตลอดเวลา ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเป็นโรคนอนไม่หลับอย่างเดียว แต่เสี่ยงจะเป็นโรคอื่น ๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น.... • โรคลมหลับ โรคลมหลับจะคล้ายๆ กับโรคนอนไม่หลับ คือจะรู้สึกง่วงมากตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนกลับตาสว่าง อาจนอนแล้วฝัน หรือหลับไม่สนิท ทำให้คุณภาพชีวิตย่ำแย่ ถ้าเป็นนักเรียน หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กขี้เกียจได้ ส่วนในวัยผู้ใหญ่ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานลดลง และอาจส่งผลอันตรายต่อการใช้ชีวิต เช่น หากทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรต่าง ๆ หรือต้องขับรถ หากเผลอหลับสัปหงกขณะนั้นล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ แม้แต่อารมณ์ก็จะหงุดหงิดฟุ้งซ่านได้ง่าย เนื่องจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอนั่นเอง • โรคเครียด เกิดจากแรงกดดัน หรือประสบกับเหตุการณ์ร้ายแรง ซึ่งมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ โดยความเครียดจะทำให้ฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้นอนไม่หลับนั่นเอง • โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง โดยเกิดจากการนอนไม่หลับเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ง่วงนอน ขี้ลืม ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว และหลับไม่สนิท ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารพวกแป้งและน้ำตาลมากเกินไปอีกด้วย • โรคโลหิตจาง ผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง หรือมีประจำเดือน จะทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย ร่วมทั้งผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือภายในอวัยวะต่าง ๆ ก็เช่นกัน เพราะมีการสูญเสียเลือดในปริมาณมากบ่อย ๆ ทำให้เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนได้ • โรคไทรอยด์ โรคไทรอยด์เกิดจากภาวะขาดฮอร์โมนบางอย่างในร่างกาย รวมทั้งความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ หรือภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ก็จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการอ่อนเพลีย และง่วงนอนได้ • โรคเบาหวาน การบริโภคแป้งและน้ำตาลทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ และหากบริโภคมากจนเกินไปก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้เช่นกัน เพราะในเลือดมีปริมาณน้ำตาลสูง จึงทำให้เกิดอาการง่วงนอนนั่นเอง เราอยากให้เพื่อน ๆ ลองสำรวจตัวเองดู ว่าอาการใกล้เคียงกับโรคไหน แต่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปนะคะ เพราะอาการที่คล้าย ๆ กัน ก็ไม่ได้บอกว่าเราเป็นโรคนั้นจริงหรือไม่ เพื่อน ๆ ควรไปพบแพทย์ เพื่อจะได้ตรวจเช็คร่างกาย และวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง เพื่อที่จะได้หาทางรักษาได้อย่างทันท่วงทีค่ะ และอย่าลืม ทำจิตใจให้สบาย ผ่อนคลาย อย่าไปวิตกกังวลนะคะ เพราะถ้าใจป่วย ร่างกายก็จะป่วยตามค่ะ ขอบคุณภาพจาก : Pixabay / Pixabay / Pixabay