เมื่อราว 5 ปีก่อน วันที่ฉันเที่ยวลัดเลาะไปรอบๆ เกาะรัตนโกสินทร์ มีตรอก ๆ หนึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดราชนัดดา ซึ่งมีชื่อสะดุดตาจนต้องขอเดินเข้าไปสำรวจ ตรอกนั้นมีชื่อว่า “ตรอกพระยาปาณี” ฉันกับน้องชายเดินข้ามถนนมุ่งตรงเข้าไปด้วยความอยากรู้ มีป้ายประวัติเก่าคร่ำคร่าเขียนบอกความเป็นมาไว้คร่าวๆ ตัวหนังสือเลอะเลือนฝุ่นจับ แต่ยังพอจับใจความได้ว่าตรอกพระยาปาณี อยู่ในชุมชนป้อมมหากาฬ ภายในตรอกเล็ก ๆ นี้ มีภูมิปัญญาของคนเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่ว่าจะเป็นช่างทอง ช่างทำเครื่องปั้นดินเผา หรือแม้แต่ช่างทำกรงนกเขาที่มีชื่อเสียง แต่น่าเสียดายที่ภูมิปัญญาเหล่านั้น มีเพียงป้ายบอกเรื่องราว ทุกบ้านปิดประตูเงียบ แม้ว่าบางบ้านจะมีคนอยู่อาศัยอยู่ แต่ก็เหมือนเหน็ดเหนื่อยที่จะมาทักทายนักท่องเที่ยวที่พลัดหลงเข้ามาอย่างเรา ฉันจึงได้แต่เดินดูบ้านเก่าโบราณที่หาชมได้ยาก บางบ้านก็บ่งบอกถึงสถานะของบรรพบุรุษของบ้านนั้น เช่น “บ้านตำรวจวัง” ร.๓ หลังจากนั้นฉันกลับบ้านด้วยความสงสัยว่า ทำไมที่นั่นจึงชื่อตรอกพระยาปาณี และได้รู้ว่าตรอกนี้มาจากชื่อของ พระยาเพ็ชรปาณี เจ้าของวิกลิเกอันโด่งดังในสมัย 100 กว่าปีก่อน ดังขนาดที่ว่าเปิดวิกเก็บค่าเข้าชมกันเลยทีเดียว แถมชุดยี่เกหรือลิเกก็แพรวพราวจนสาวหลง แต่ปีนี้ พ.ศ. 2563 ทุกอย่างที่ฉันเล่ามา ก็กลายเป็นแค่อดีตให้นึกถึงผ่านภาพถ่ายที่มีเพียงไม่กี่บาน เพราะชุมชนป้อมมหากาฬ รวมทั้งตรอกพระยาปาณี ถูกรื้อเพื่อปรับภูมิทัศน์เป็นสวนสาธารณะไปหมดแล้ว ฉันเข้าใจถึงวัฒนธรรมอันมีชีวิตที่แทรกซ่อนอยู่ในชุมชน แต่ก็เข้าใจถึงวิถีของการพัฒนา ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนไปได้ นอกจากความทรงจำที่จะคงอยู่กับเรา สำหรับฉัน...แม้จะเป็นชั่วโมงอันเล็กน้อยที่เคยไปย่ำย่างอยู่ที่นั่น แต่ก็ยังดีที่ได้ไปสัมผัสก่อนที่ชุมชนนั้นจะล่มสลายไป