The Plan is no Plan คุณเคยมั้ย อยากจะทิ้งทุก ๆ อย่างในตอนนี้ไว้ข้างหลัง แล้วเปิดประตูออกไป ค้นหาสิ่งที่ทำให้จิตใจได้มีพลังอีกครั้ง ในบางครั้งความวุ่นวาย ความสับสน ในทุก ๆ วันที่ผ่านเข้ามา เสมือนสิ่งที่บังคับให้คุณต้องทำสิ่งนั้น ๆ วนไป วนมา ซ้ำไป ซ้ำมา จนคุณหลงลืมส่วนลึกในจิตใจ สิ่งที่คุณเคยหวัง สิ่งที่คุณใฝ่หา จนนึกขึ้นได้อีกครั้ง ในตอนที่ไม่เหลือไฟในความคาดหวังแล้ว หากลองมองย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็ก เราทุกคนต่างอยากจะพบเจอสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ แล้วในทุก ๆ ที่ ที่มีคนพาคุณไปที่นั้น คุณจะตื่นเต้นตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณได้รู้ ความรู้สึกของความอยากลอง อยากรู้ มันมากเกินจะจินตนาการได้ พอนึกถึงความรู้สึกนั้นทีไร คุณจะรู้สึกถึงอิสระที่คุณเคยได้มีมันไว้ ในช่วงหนึ่งของชีวิต แล้วตอนนี้ล่ะ ทำไมคุณไม่อยากเป็นอิสระบ้าง เมื่อทุกอย่างของความนึกคิด ในสิ่งที่เราเคยใฝ่หา ได้มาบรรจบกัน ณ ช่วงเวลาแห่งความเป็นจริง เรามี รองเท้า ที่พร้อมจะพาเราเดินไปในทุก ๆ ที่ ที่เราอยากไป เรามี เป้ใบใหญ่ ที่พร้อมจะใส่ทุกอย่างที่จำเป็นไว้ในนั้น เรามี กล้องคู่ใจ ที่พร้อมเก็บภาพความจริง เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ และ เรามี พลังใจ ที่จะสั่งให้เท้าก้าวออกไป ในที่ ที่อยู่ในความฝัน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ม่านหมอกสีจาง ที่เป็นเหมือนภาพฝันเลือนๆ ก็จะค่อย ๆ ชัดขึ้น ชัดขึ้น “ไปเที่ยวกันเถอะครับ” รุ่งอรุณของการก้าวเดิน The Plan is on Plan คำศัพท์คำนี้ ใครที่ได้ฟังอาจจะงงซักเล็กน้อย เพราะเปอร์เซ็นต์ของคนที่ทำได้นั้นน้อยมาก สำหรับคนที่กำลังเริ่ม แบกเป้เที่ยว ส่วนมากแล้วหลาย ๆ คน จะวางแผนจัดเตรียมทุกสิ่ง ทุกอย่าง ในการเที่ยวไว้ เพื่อให้ได้รับความสะดวก สบาย นั่นล่ะ คือ การ Plan ทุกอย่างไว้ล่วงหน้า ทั้งการจองห้องพัก ร้านอาหารที่ต้องแวะ คาเฟ่ที่ต้องไปเช็คอิน รวมไปถึงเส้นทางการเดินทาง ทุกวันนี้ความสะดวกสบาย ทำให้เราออกไปท่องโลกกว้างได้มากยิ่งขึ้น แต่หากคิดไปแล้ว ความสะดวกสบาย พวกนี้ ได้ทำให้เราลืมความรู้สึกในตอนเด็ก ๆ ไป เพราะเมื่อตอนนั้น ตอนที่เราจำความได้ คนที่พาเราไปเราใช้เพียงแผนที่ หรือ อาศัยการดูป้ายบอกทาง โดยอ้างอิงจุดหมายจากภาพถ่ายแค่ใบเดียวเป็นแรงบันดาลใจที่ให้ไปถึงที่นั่น ในตอนนั้นทุกคนที่ร่วมเดินทาง ต่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้ความสำคัญกับรูปถ่ายใบนั้น เพราะไม่มีรีวิวให้อ่าน และไม่มีโซเชียลให้หาข้อมูล ภาพถ่าย กับ ภาพตรงหน้า จะเหมือนกันมั้ย นั่นล่ะคือแรงผลักดันให้เรามุ่งไปข้างหน้าจนถึงจุดหมาย แต่เมื่อในตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว การเดินตามโลกอาจจะสำคัญ แต่การเดินตามความฝัน ก็สำคัญไม่แพ้กันใช่มั้ยล่ะ ^^ The Plan is no Plan รูปแบบการเดินทางที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝัน การเดินทางที่คิดถึงแค่ปลายทาง โดยให้ระหว่างทาง คือ ประสบการณ์ความตื่นเต้นที่กำลังจะถาโถมเข้ามา คุณไม่รู้หรอกว่าจะเจอกับอะไรข้างหน้า มันอาจมีทั้งผิดหวัง และสมหวัง สิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดนี่ล่ะ คือสิ่งที่นักเดินทางรูปแบบนี้อยากเจอ พวกเค้าไม่เคยสนว่าจะเจอคนที่เค้าคุ้นเคยหรือเปล่า แต่ผู้คนที่เค้าเจอ คือ คนรู้จักคนใหม่ ที่พร้อมจะมอบประสบการณ์ดี ๆ ให้กันและกัน หากคุณก้าวออกมาจากที่ ที่คุ้นเคยแล้ว สิ่งต่อไปที่คุณจะต้องทำ คือ ใช้ใจทั้งใจเชื่อมั่นในความกล้าของตัวเอง และการข้ามผ่านความกลัวไปให้ได้ หากคุณเคยกลัวคนแปลกหน้า จงผูกมิตรซะ หากคุณเคยกลัวที่จะถาม จงกล้าที่จะเอ่ยมันออกมาซะ และหากคุณเคยกลัวการอยู่คนเดียว จงรู้ไว้ เมื่อใดที่คุณเริ่ม “ก้าวแรก” ไปแล้ว คุณจะได้เจอกับมิตรภาพที่ผ่านเข้ามาในก้าวต่อ ๆ ไป และมันจะเป็นความทรงจำที่คุณจะจดจำเค้าเหล่านั้นไปชั่วชีวิต เพราะด้วยน้ำใจที่เต็มเปี่ยม ที่คุณจะได้รับ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ สำหรับคนที่เดินทางคนเดียว ทำให้เราอยากก้าว และก้าวต่อไปให้ถึงจุดหมาย การเตรียมตัว สำคัญพอ ๆ กับการเตรียมใจ หากคุณเตรียมตัวดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ก่อนที่จะสะพายเป้คู่ใจขึ้นบ่า อย่างน้อยคุณจะต้องรู้ว่า ความไม่แน่นอน เกิดขึ้นได้เสมอ และนี่คือสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ชุดที่คุณสวมใส่ : คุณไม่ควรยึดติดกับความสวยงามมากเกินไป เน้นใช้งานดีกว่า อย่าลืมคุณเดินทางคนเดียว ชุดที่ยึดหยุ่น และระบายอากาศได้ดีสำคัญมาก เพราะคุณต้องผจญกับความร้อน หรือฝนที่ตกลงมา รองเท้า : ควรเป็นรองเท้าที่เราคุ้นเคย ใส่แล้วไม่อับชื้นได้ง่าย เพราะคุณอาจจะต้องเดินมากเป็นพิเศษ เสบียง : น้ำ และอาหารให้พลังงานสูงสำคัญมาก เพราะเมื่อใดที่คุณเหนื่อย เสบียงที่คุณเตรียมไว้ จะช่วยให้คุณก้าวต่อไปได้ เสื้อกันฝน : นี่คืออุปกรณ์ ที่จะช่วยให้คุณรอดจากอาการป่วย เพราะเสื้อกันฝนจะกันได้ทั้ง ฝน ลม และ บรรเทาความหนาวได้นิดหน่อย ไฟฉาย : แสงสว่าง จะทำให้เราไม่คิดไปเอง มีดพก : ตัวช่วยอย่างดี ทั้งยังช่วยให้เราอุ่นใจอีกด้วย ยาสามัญ : จะเป็นแก้ปวด แก้คัน แก้ท้องเสีย มีไว้ก็อุ่นใจกว่า ผ้าเช็ดตัว : ถ้าเป็นไมโครไฟเบอร์จะดีมาก เพราะน้ำหนักเบา และบาง เต็นท์ ถุงนอน : ถ้าอุปกรณ์ของคุณไม่หนักจนเกินไป คุณควรจะพกมันไปด้วย เพราะคุณจะได้ใช้มันแน่นอน และ Power Bank : เมื่อไรที่โทรศัพท์ของคุณยังใช้งานได้อยู่ คุณจะรู้สึกถึงความปลอดภัยจากทุกสิ่งอยู่เสมอ เท่านี้ เราก็ก้าวออกจากเซฟโซนได้อย่างมั่นใจแล้ว หากคุณยังไม่เคยโบกรถ นี่คือคำแนะนำ ความเป็นไปได้น่าจะเกือบเป็น 0 หากคุณเลือกโบกรถในกรุงเทพฯ สิ่งที่คุณควรรู้และควรทำ นั่นคือ นั่งรถประจำทางไปลงยังจังหวัดที่เป็นที่หมายของคุณ หรือ ไปลงนอกเขตปริมณฑล ไม่ใช่ว่าคนกรุงเทพฯ ไม่มีน้ำใจนะครับ เพราะความวุ่นวายของกรุงเทพฯ ทำให้คนให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือกันน้อยลงไปทุกที การโบกรถ หากอยากให้ได้ขึ้นรถไวไว การแต่งตัว : สำคัญมาก เพราะคนที่เค้าจะรับคุณ เค้าจะเห็นคุณแค่แว๊ปเดียว และจะเห็นคุณชัด ๆ อีกครั้ง ก็เมื่อจอดรถนั่นเอง อีกอย่างที่ทำให้ขึ้นรถได้ไวขึ้น ก็คือ ความตั้งใจและท่าทางในการโบก : หากคุณมีความอ่อนน้อมให้คนที่ขับรถผ่านไปผ่านมาเห็น คุณก็จะดูไม่มีพิษไม่มีภัยสำหรับคนที่จะรับคุณ ฉะนั้น หากมีคนขับเข้ามาชะลอ การทักทายด้วยการไหว้ หรือ การโน้มตัวแบบถ่อมตน จะเป็นสิ่งที่ดีมากถ้ามีติดตัวไว้ตลอด เมื่อมีคนจอดแล้ว สิ่งที่ต้องบอกเพื่อความชัดเจน ก็คือปลายทาง และเส้นทางถนนหลักที่จะผ่านไปถึง : คุณต้องเข้าใจว่า ทุกคนมีที่หมายคนละที่ การสื่อสารที่ชัดเจนจะทำให้คนที่จอดรับคิดได้ไว หากเค้าต้องผ่านทางนั้นอยู่แล้ว และหากคุณคิดว่ามันไม่ประสบความสำเร็จแน่ ๆ สิ่งที่ต้องทำต่อไป คือ เดินเข้าไปคุยกับใครซักคน : คนที่เค้าเป็นคนพื้นที่แถวนั้น สิ่งที่เราได้รับกลับมา น่าจะเป็นมิตรภาพเล็ก ๆ ไม่เป็นการบอกทางที่ถูกต้อง ก็เป็นการช่วยหารถให้คุณไปถึงจุดหมาย และเมื่อใดที่คุณทำภารกิจสำเร็จ เมื่อมีคนพยักหน้า แล้วเอ่ยออกมาว่า “ขึ้นรถสิ” ในความดีใจนั้นก็อย่าลืม คำขอบคุณ มารยาทขั้นต่อไปในการขึ้นรถนั้น ก็คือ เสนอตัวนั่งหลังกระบะ เพราะไม่มีใครไว้ใจเราในทันทีที่เจอหน้ากันหรอก ฉะนั้นเราจะต้องรอจนกว่าเค้าเสนอให้เรานั่งในรถได้ เราถึงจะควรรับคำชวนนั้น มารยาทในรถ เราควรแนะนำตัวกับเค้าบ้าง แล้วเราก็ควรบอกจุดหมายที่เราจะไป หากเมื่อใดที่คุณและผู้ที่ใจดีคนนั้นคุยถูกคอกัน คุณอาจจะได้โบนัสแถมเป็นการไปส่งคุณจนถึงที่หมายเลยก็เป็นได้ สิ่งที่จะลืมไม่ได้ก่อนที่คุณจะลงรถของผู้ใจดีคนนั้น คุณควรเก็บภาพความประทับใจไว้ซักนิด หรือขอไลน์ แลกเบอร์กัน เผื่อในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ คุณอาจจะได้สานต่อมิตรภาพดี ๆ กับคนที่มีน้ำใจคนนี้ก็ได้ แล้วการโบกรถครั้งต่อไปของคุณก็จะง่ายขึ้น ด้วยความมั่นใจที่คุณได้รับมาแล้ว ที่พัก : การคาดหวังว่า จะใช้เงินที่เตรียมไว้ มาพักในห้องพัก หรือรีสอร์ตหรู ๆ คุณก็จะต้องจ่ายเงินในจำนวนมาก แน่นอน ถ้าทริปของคุณทริปนี้ เป็นทริปแบบประหยัด คุณก็ควรมองหาโฮสเทล หรือจุดกางเต็นท์ที่ทำให้คุณประหยัดเงินในทริปนี้ไปได้มากเลยทีเดียว เพราะสิ่งที่เราต้องการไม่ใช่การถ่ายรูปสวย ๆ หรือ การเช็คอิน ในที่หรู ๆ สิ่งที่เราต้องการ คือ เตียงนอนสบาย ๆ สักเตียง ห้องน้ำที่ให้เราได้ผ่อนคลายกับความเหนื่อยล้าของทั้งวันที่ผ่านมา แค่นี้ก็น่าจะพอ สำหรับให้เราชาร์จพลังเพื่อเก็บไว้ใช้ในจุดมุ่งหมาย ของการก้าวต่อไปในวันพรุ่งนี้แล้ว เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน สิ่งที่เราควรทำก่อนเดินทางนั้น คือ เราควรพูดคุยกับพนักงาน หรืออาจจะเจอเจ้าของที่ ที่เราไปพัก คนพวกนี้รู้จักพื้นที่นี้ดีกว่าคุณ ทีนี้เราก็จะได้ความสะดวกสบายจากการแนะนำ โดยที่ไม่ต้องไปแบบไม่มีข้อมูลอีก การแนะนำให้ติดรถคนระแวกนั้นไป เป็นเรื่องที่เจอได้บ่อย เพราะเมื่อมีคนท้องถิ่นแนะนำ คนที่ให้ติดรถไปด้วยก็จะสบายใจ และผ่อนคลายความกังวลไปในระดับหนึ่ง ว่าเราน่าจะไว้ใจได้ เพราะมีคนแนะนำให้ ในระหว่างเดินทาง คุณไม่ควรลืมที่จะสัมผัสกับความสุข ของสถานที่ท่องเที่ยวรายทาง เราสามารถหาข้อมูลได้จากคนที่เรานั่งรถเค้าไปด้วยนั่นล่ะ คำแนะนำดี ๆ อาจจะพาเราไปพบกับความสวยงาม ที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นก็ได้ เพราะในแต่ละพื้นที่ ก็น่าจะมีที่เที่ยว ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ไป จะต้องเป็นคนพื้นที่จริง ๆ เท่านั้นถึงจะรู้จัก นี่ล่ะโบนัสที่เราจะได้รับ เราอาจจะเป็นคนที่ รีวิว สถานที่ลับนี้ เป็นคนแรกก็ได้ จริง ๆ แล้วความสำคัญของจุดหมายที่เราได้ตั้งไว้ อาจจะไม่สำคัญเท่าระหว่างทางก็เป็นได้ เพราะประสบการณ์ที่เราได้รับมาทั้งหมดในการเดินทาง จะทำให้เราเข้าใจการเดินทางในอีกรูปแบบหนึ่งได้ดีมากขึ้น และนี่คือ การเดินทางที่ไม่ต้องเร่งรีบ การเดินทางที่หมุนเวียนแปลี่ยนไปได้เสมอ การเดินทางที่ไม่ต้องยึดติดกับการวางแผน และการเดินทางคนเดียว ที่มีแต่มิตรภาพดี ๆ ที่ได้รับจากทุก ๆ คนที่ผ่านเข้ามา ในย่างก้าวของเราทุกก้าว หากเราใช้ประสบการณ์ดี ๆ เหล่านี้มาคิดย้อนกลับไป เราจะได้พบเจอกับทัศนคติใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย ภายในจิตใจของเรา เราจะเข้าใจธรรมชาติของคน ทั้งที่ดี และไม่ดีกับเราได้มากขึ้น เราจะมีน้ำใจมากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นจากสิ่งที่เราได้รับมา และเราจะก้าวครั้งต่อไปได้ไม่มีวันหยุด เพราะในทุก ๆ ครั้งที่เราก้าว ประสบการณ์ทุกประสบการณ์ จะย้อนกลับเข้ามาเป็นแรงผลักดัน ให้เราก้าวข้ามอุปสรรค์ที่แม้จะมากมายเท่าไร ก็ไม่เคยทำให้เรา ท้อได้เลย ภาพปกโดย www.pexels.com ภาพประกอบโดย 1 / 2 / 3