The Fault in our Stars (2014) ..แด่ความเจ็บปวดระดับ 10.5(เนื้อหาอาจมีสปอย)เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ เฮเซล เกรซ แลนคาสเตอร์ วัย 16 ผู้ซึ่งป่วยและมีภาวะร่างกายที่ไม่ปกติเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ตอนแรกเริ่มเธอก็ไม่ได้รู้สึกยินดีกับชีวิต อออกจะเหนื่อยหน่ายในบางที จนได้มาเจอกับ ออกัสตัส วอเตอร์ส ซึ่งก็เป็นคนป่วยเช่นเดียวกัน พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันต่าง ๆ มากมาย จนบังเกิดเป็นความผูกพันต้องขอบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีมาเรื่องหนึ่ง แก่นของเรื่องคงเหมือนหนังรักทั่ว ๆ ไป ที่ชายหญิงรักกัน แต่นางเอก(เฮเซล) และพระเอก(ออกัสตัส)เป็นคนป่วยทั้งคู่ ความตายจึงเป็นเหมือนเงาที่พร้อมจะมาถามหาพวกเขาอยู่ทุกเมื่อ เรื่องมันควรจะ Live happily ever หากเป็นหนังรักตามท้องตลาดทั่วไป แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับเรื่องนี้คลิกเพื่อดูหนังออนไลน์เรื่อง The Fault in Our Stars หนังเรื่องนี้แฝงแง่ปรัชญาไว้อยู่ไม่น้อย ตั้งแต่ตอนต้น ๆ ที่ออกัสตัสคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วเฮเซลเห็นเข้าจึงไม่พอใจ ซึ่งเขาก็บอกว่าไม่ได้อำนาจในการทำลาย(จุด)มัน และมันก็คงเป็นจริงตามนั้น เพราะคงจะไม่มีใครมาทำร้ายเราได้ถ้าเราไม่ยินยอม และเมื่อฟังเหตุผลแล้วเฮเซลก็เหมือนจะ ‘ยอมรับได้’ และผู้ชมเองก็เช่นกัน ทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องธรรมดา ๆ เสียแล้ว ทั้งเฮเซลและออกัสตัสน่าจะเป็นตัวละครที่มีอะไรบางอย่างอยู่ในตัว The Fault นั้นคืออะไร?สิ่งที่ผิดมันอยู่ตรงจุดไหนกันนะ?เราเองหรือเปล่าที่ทำความผิด? หรือในความเป็นจริงแล้วจะไม่มีอะไรเลยที่มีส่วนผิด เพราะเรื่องราวความรักที่น่าจดจำนี้ แม้จะมีปลายทางที่น่าเศร้า แต่ไม่ได้หมายความว่ามันคือรักที่ไม่ดีเสียหน่อยแม้จะลงท้ายด้วยความไม่สมหวัง แต่นี่คงเป็นเรื่องราวความรักที่ออกมาในรูปแบบที่น่าประทับใจกว่าความรักห่วยอีกหลายร้อยรูปแบบในชีวิตจริง อย่างน้อยเฮเซลและออกัสตัสก็เป็นคนรักที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากตัวบุคคลหลาย ๆ ฉากในเรื่องสื่อความหมายออกมาได้ดี ตั้งแต่การนั่งล้อมวงกันเพื่อพูดคุยถกปัญหาชีวิต ทำให้เห็นถึงคนหลายประเภทกับปัญหาสารพัดรูปแบบ ฉากการไปพบนักเขียนคนโปรดของเฮเซลที่เธอแสนจะตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความหวัง คำถามบางคำถามที่เธออยากจะเอื้อนเอ่ยและสุดท้ายแม้ทุกอย่างอาจจะไม่เป็นแบบที่ใจหวัง แต่เธอก็ได้รับบางอย่างที่มีคุณค่าทางใจได้ไม่แพ้กัน ฉากการไปเที่ยวบ้านของแอน แฟรงค์ และฉากที่ทั้งคู่คุยกันที่ม้านั่งเป็นอีกฉากที่สร้างความสะเทือนใจมาก เหมือน ๆ กับเฮเซลที่บอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกอย่างไร อีกฉากหนึ่งที่สะเทือนใจมากจริง ๆ คือ การที่ออกัสตัสขอร้องให้เพื่อนรักตาบอดไอแซคและเฮเซลเขียนคำไว้อาลัยให้ ท่าทีเขาดูสบาย ๆ เกินกว่าจะพูดเรื่องเกี่ยวกับความตายได้ มันดูเรียบง่ายซะจนเหมือนเขาขอให้เฮเซลทำอาหารเช้าให้ทานสะเทือนใจสุด ๆ คนเราต้องมีจิตใจแบบไหนกันถึงขอร้องให้คนเขียนคำไว้อาลัยให้ตัวเองได้ แล้วตอนนั้นมันจะเป็นความรู้สึกแบบไหนกัน แม้หนังอาจจะไม่ได้สื่ออกมา แต่คิดว่าคนดูคงพอเดาได้ ความรู้สึกของเฮเซล ความรู้สึกของไอแซค ซึ่งถ้าเป็นเราจะแสดงอาการแบบนั้นออกมาบ้างไหมเจ้าของบทประพันธ์ทำออกมาได้ดี ตัวละครก็ทำออกมาได้ดี คำอาลัยของไอแซคที่จะปฏิเสธลูกตาใหม่ เพราะมันไม่มีออกัสตัสอยู่ตรงนั้น คำไว้อาลัยของเฮเซลที่พูดถึงตัวเลขอนันต์ระหว่าง 0-1 และการใช้เวลาร่วมกันที่สั้นเกินไป ทุกอย่างดูประจวบเหมาะเกินไป จนรู้สึกหลงรักหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกสุดท้ายวันนั้นก็มาถึง ในวันที่ไม่มีออกัสตัสแล้ว ท่าทีของเฮเซลนั้นเหมือนคนใจสลายมาก แม้จะไม่ฟูมฟายไม่ตีโพยตีพาย แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดนั้น เงาของเฮเซลที่ฉายผ่านกระจกเงา สะท้อนความรู้สึกของเธอออกมาทุกอย่าง ทั้งสีหน้า แววตา อารมณ์ไปจนถึงสิ่งที่เธอกำลังนึกคิดอยู่ตอนนั้นเฮเซลเล่าถึงสมัยเด็กที่พยาบาลถามถึงความเจ็บปวดสิบระดับ ซึ่งเฮเซลได้เก็บระดับสิบไว้และ ‘ควร’ ใช้กับวันนี้ ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ไม่จำเป็นต้องพูดให้ยืดยาว เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ไม่กี่ประโยคก็สื่อความออกมาได้ทั้งหมด ทั้งความรู้สึก ทิศทางการดำเนินเรื่อง ความเป็นไปของตัวละครเป็นหนังอีกเรื่องที่ดูจนจบแล้วรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยมาก เหนื่อยหัวใจเหลือเกิน มันจะรู้สึกแบบอึน ๆ หน่วง ๆ ไม่ถึงกับเศร้าแบบฟูมฟายตีโพยตีพาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเริงร่าแบบที่ควรจะเป็นเมื่อดูหนังรักจบ มันยังคงเป็นอารมณ์สีเทา ๆ มาจนถึงปัจจุบันที่เพียงแค่ได้ยินชื่อก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเสียแล้วสั้น ๆ ง่าย ๆ เลยว่า ดี-ไป-ดู “ดูเหมือนโลกนี้จะไม่ใช่โรงงานผลิตพร”---------ออกัสตัส ขอบคุณภาพประกอบจาก trailerhttps://www.imdb.com/title/tt2582846/videoplayer/vi2845815833?ref_=vi_nxt_ap