สวัสดีคุณผู้อ่านที่น่ารัก ในช่วงหลายปีมานี้ผมได้รับชมภาพยนตร์มาหลายสิบเรื่องนะครับ หลายเรื่องก็สร้างสรรค์ในแง่เรื่องราวที่เกิดขึ้น บางเรื่องก็สะท้อนเสียดสีสังคม บางเรื่องก็ดราม่าเรียกน้ำตา แต่ต้องบอกตามตรงเลยว่าช่วงเกือบสิบปีมานี้ ผมยังไม่เจอภาพยนตร์เรื่องไหนที่สามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปได้มากเท่านี้เลยครับ ภาพยนตร์บางเรื่องอาจมีการใส่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ต่างๆลงไปจนมั่วแบบสะเปะสะปะจนมั่วไปหมด แต่สำหรับเรื่อง Scott Pilgrim vs. the World...มันก็มั่วอย่างนั้นล่ะ ฮ่าฮ่า...ขำแห้ง แต่อย่าพึ่งรีบด่วนตัดสินใจที่จะไม่ดูเรื่องนี้นะครับ ที่บอกว่ามันมั่วน่ะ มันมั่วแบบมีหลักการ และเทคนิคการถ่ายทำ การตัดต่อที่ใช้ในหนังเรื่องนี้เนี่ยมันมีชั้นเชิงมาก นักทำหนังรุ่นใหม่ถ้าหากอยากศึกษาเทคนิคที่มีชั้นเชิงล่ะก็ควรมาศึกษาเรื่องนี้เลยครับ เพราะหลายๆอย่างในหนังเรื่องนี้เมื่อย้อนกลับไปดู มันยังรู้สึกล้ำกว่าใครในยุคนี้ทั้งนั้น เทคนิคหลายๆอย่างภาพยนตร์ยุคนี้ยังแทบไม่มีใครนำมาใช้เลยครับScott Pilgrim vs. the World (2010) ก่อนจะลงลึกไปในรายละเอียดต่างๆของหนังเรื่องนี้ผมขอพูดถึงเนื้อเรื่องก่อนละกันครับ 'Scott หนุ่มเนิร์ดนักดนตรี ที่กำลังคบเด็กสาวม.ปลายชาวจีน ต้องการจะจีบ Ramona สาวแปลกหน้าแสบซ่าที่พึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองนี้ แต่อุปสรรคของเขาก็คือเหล่าอดีตแฟนโหดทั้ง 7 ของเธอ Scott จำเป็นต้องต่อสู้กับเหล่าอดีตแฟนโหดให้ชนะจึงจะสามารถคบกับ Ramona' - ตัวอย่างภาพยนตร์ แค่เนื้อเรื่องบางคนก็อาจจะอี๋แล้วใช่ไหมล่ะครับ ใจเย็นๆก่อนนะครับ หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังโรแมนติกดราม่าหรืออะไรแบบนั้น genre ของหนังเรื่องนี้คือ "Fantasy/Action" ...ครับ นี่ไม่ใช่หนังปกติแน่ๆScott และ Ramona จริงๆแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนจะดัดแปลงมาจากการ์ตูนนะครับ ซึ่งในครั้งแรกที่ผมได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมไม่ทราบเกี่ยวกับรายละเอียดอะไรของหนังเลย แม้แต่เรื่องย่อผมก็ไม่รู้ ตัวอย่างผมยังไม่ดูเลยครับ ผมได้เห็นเพียงโปสเตอร์ของหนัง แล้วก็มีความคิดเล็กๆว่า...มันน่าจะเป็นหนังดนตรีนะ...มันเกือบจะใช่ละ เพียงแต่ตัวหนังมันมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งเรื่องของการเล่นดนตรีนั้นหนังเรื่องนี้ก็มีพแสมควรเลยล่ะครับ ลองชมจากวิดีโอที่ทางค่ายปล่อยออกมาได้ครับ 'Every Musical Performance' ในตอนที่หนังกำลังเริ่มนั้น โดยปกติภาพยนตร์ของ UNIVERSAL จะมี Logo ปรากฎขึ้นเป็นลูกโลกและเพลงบรรเลง แต่สำหรับในเรื่องนี้มันไม่ปกติแน่ๆ ลูกโลกและเพลงยังคงมีตามเดิม...แต่มันเปลี่ยนไป มันถูกแปลงให้เป็นภาพและเสียงเหมือนเกม 8 bit...ตอนนั้นผมเริ่มเอะใจแล้วล่ะ ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องใส่อะไรเพี้ยนๆเข้ามาอีกแน่ ซึ่งมันเพี้ยนจริงๆน่ะแหละ หนังมันเปิดเรื่องด้วยการอารัมภบทเหมือนกับเกม หรือ นิทาน นั่นทำให้ผู้ชมอย่างผมที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อนเลย เริ่มเข้าใจโลกของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่ามันไม่ใช่โลกปกตินะ เรากำลังอยู่ในโลกแฟนตาซี แม้ว่าฉากหลังที่เห็นมันจะเป็นบ้านเมืองปกติก็ตาม แต่หากมีอะไรที่แปลกประหลาดโผล่มาก็ไม่ต้องไปคิดหาเหตุผล เพราะมันคือโลกแฟนตาซี... ภาพยนตร์เรื่องนี้แม้ว่ามันจะเป็นแฟนตาซีแต่มันไม่ได้พยายามทำความแฟนตาซีสมจริงแบบอย่างพวกแฮรี่พอตเตอร์หรืออะไรทำนองนั้น เขาตั้งใจใส่รายละเอียดบางอย่างทีมักจะพบเห็นในเกมหรือการ์ตูนเข้ามาด้วย อย่างเช่น Effect ตามอารมณ์ของตัวละคร อย่างเช่นเวลาตัวละครเขิน หน้าก็กลายเป็น (>.<) อย่างนี้เลย ซึ่งเขาไม่ได้ใส่มาจนรู้สึกน่ารำคาญเลยครับ เขาใส่มาในจังหวะที่ถูกต้องมากๆและมันสามารถลื่นไหลไปกับเรื่องราวโดยไม่รู้สึกติดขัดอะไรเลย และในความ Fantasy แบบเกมนั้นบางทีก็มีการใส่ text box เพื่อบอกว่าของสิ่งนั้นคืออะไรด้วย หรือแม้แต่เสียงกริ่งประตู เมื่อมีเสียงมันก็จะขึ้นมา “Ding dong~” ข้างๆหูของตัวละคร บางทีก็มีการใส่หลอดเยี่ยวว่าเหลืออีกเท่าไหร่จะเยี่ยวหมด....ซึ่งคงไม่มีหนังเรื่องไหนทำแน่ๆ นอกจากนั้นยังมีการใส่ cutscene เพื่อเล่าเรื่องย้อนอดีตที่เหมือนกับในเกมอีกด้วย เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียดอะไรต่างๆจากเกมมาดีมาก องค์ประกอบในเรื่องให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเกมสมัยก่อนเลยครับ ในความ Fantasy/Action นั้น ผมเข้าใจละว่ามันแฟนตาซีอย่างไร แต่สำหรับ Action ผมพึ่งเริ่มเจอจังๆก็ตอนช่วงเกือบกลางเรื่อง คืออย่างที่ผมได้เล่าไปในเรื่องย่อที่บอกว่า 'ต้องต่อสู้กับอดีตแฟนโหด' มันต่อสู้จริงๆครับ...มันเตะต่อยกันเลย แต่อย่าพึ่งคิดว่ามันเตะต่อยกันแบบหนัง action พวกเจมส์บอนด์ หรือ มิสชั่นอิมพอสซิเบิ้ล นะครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้มันคือขั้นสุดของคำว่า Fantasy บนโลกจริงครับ พอมันจะต่อยกัน มันมีแถบหลอดเลือดขึ้นมาด้านบนเฉยเลยครับ หากนึกไม่ออก ให้นึกถึงเกม Street fighter ครับ แบบนั้นเลย และมันต่อยกันแบบนั้นด้วย อยู่ๆก็โดดสูงได้ มีท่าไม้ตาย ปล่อยพลัง เอฟเฟคการเตะต่อยแบบในเกมทุกอย่าง แถมเวลาชนะยังมีเหรียญตกออกมาจากตัว พอต่อสู้กันจบ เอฟเฟคก็หายไป เรียกว่ามันคือที่สุดของคำว่าแฟนตาซีบนโลกจริงแล้วล่ะครับ ในส่วนของตัวละคร หนังมีการแนะนำตัวละครเหมือนในเกมหรือการ์ตูนเลยครับ เมื่อมีตัวละครใหม่โผล่เข้ามา กล้องก็จะ close-up ไปที่ตัวละคร แล้วก็จะมี text box ขึ้นมาเขียนบอกชื่อ อายุ และหน้าที่ ซึ่งตัวละครแต่ละตัวนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจนมากๆ อุปนิสัยแต่ละตัวละครไม่มีตัวไหนซ้ำกันเลย แล้วผมรับรองเลยว่าแต่ละตัวละครนั้นเพี้ยนสมกับเป็นโลกแฟนตาซีของหนังเลยครับ เรื่องของเทคนิคที่ผมเกริ่นไว้ว่าอยากให้นักเรียนภาพยนตร์รุ่นใหม่ๆมาศึกษาเอาไว้ก็คือ จังหวะการ Transition หรือ การเปลี่ยนซีน การสลับฉากมันทำได้ดีมากๆ มันไม่รู้สึกขัดหรือตัดอารมณ์เลย เพราะเขาใช้เทคนิคการเชื่อมซีนด้วยการกระทำ, สิ่งของ หรือ คำพูดที่มันต่อเนื่องกับซีนที่แล้ว ทำให้ตัวหนังมันดูไหลลื่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้รู้สึกว่ามีฉากไหนที่เราถูกตัดอารมณ์ ซึ่งจังหวะการเปลี่ยนซีนแบบนี้ ไม่ได้มีแค่นิดๆหน่อยๆนะ มันมาแบบนี้ตลอดทั้งเรื่อง เขาวางแผนเอาไว้อย่างดีว่าจะจบซีนและเริ่มซีนใหม่ด้วยอะไรที่เชื่อมต่อกัน เป็นเทคนิคที่น่าทึ่งมากและน่าลองนำไปใช้มากครับ สรุปโดยรวม นี่คือหนังที่ค่อนข้างเนิร์ด มีความการ์ตูน วิดีโอเกมและดนตรีร็อค ผสมผสานรวมกันอยู่ในหนังเรื่องเดียวกันอย่างลงตัวและกลมกล่อม สำหรับตัวผมเองไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี กลับไปดูซ้ำอีกกี่รอบก็ยังรู้สึกสดใหม่อยู่เสมอ หนังมีความสร้างสรรค์และเป็นเอกลักษณ์มากครับ หากได้ชมภาพยนตร์โดยคาดหวังความบันเทิงที่มีความคิดสร้างสรรค์ ผมรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับภาพจากเรื่อง Scott Pilgrim vs. the Worldตัวอย่างภาพยนตร์ Scott Pilgrim vs. the World