ภายหลังจากที่ผมได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาต่อที่ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียร์ แห่งเบิร์กลี่ย์ [โปรดดูด้านล่าง] (ไม่ใช่ แคลิฟอเนี่ยร์ยู - ไม่ได้จะประชดอะไรนะ)แม้ผมจะได้รับการตอบรับจากมหาลัยอื่นก็ตาม แต่ด้วยทุนรัฐบาลที่มัดผมไว้ให้ไปศึกษาต่อด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ผมคงไม่สามารถเลือกมหาวิทยาลัยอื่นได้นอกจากที่นี่ โดยไม่รู้ว่านรกกำลังจะมาเยือน เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกเมื่อได้จดหมายตอบรับก็กระโดดโลดเต้นกันยกใหญ่ แต่ด้วยความประมาทส่วนตัวที่เคยศึกษาต่อในประเทศออสเตรเลียมาแล้ว ทำให้ผมกระหยิ่มยิ้มเยาะอยู่ในใจลึกๆว่า อนาคตคงผ่านไปได้ ไม่ยากหรอก แต่ด้วยสาขากฎหมายที่ผมไม่ถนัดและไม่เคยคิดจะสนใจ มันจึงกลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในชีวิตว่าอย่างไรก็ตามก็ต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน (ผมคิดแบบนี้จริงๆ) อาจมีผู้อ่านบางท่านสงสัยว่าในเมื่อได้ปริญญาโทจากเมืองนอกมาแล้วหนึ่งใบทำไมต้องไปเรียนปริญญาโทซ้ำอีก ผมขอชี้แจงดังนี้ครับ1. ปริญญาโทใบแรกที่ออสเตรเลีย นั้นผมจบสาขากฎหมายธุรกิจโดยไม่มีมีวิชาทรัพย์สินทางปัญญาสักวิชา2. ผมได้รับทุนจากรัฐบาลโท-เอก เพื่อศึกษากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเท่านั้น เท่ากับว่า ปริญญาใบแรกมีค่าเท่ากับศูนย์3.เป็นที่รู้กันในหมู่นักศึกษา คือ มหาวิทยาลัยในอเมริกา มิใคร่จะยอมรับป.โทจากประเทศอื่นสักเท่าไหร่ เว้นแต่มีผลงานโดดเด่นมากถึงจะรับเข้าหลักสูตรปริญญาเอก 4.จากข้อ 1-3. ผมจึงต้องไปเรียนโทซ้ำที่อเมริกา ณ UC Berkley (Cr: https://images.app.goo.gl/Y5HuKaaJay7jrBvW7) แต่ก่อนเข้าศึกษาต่อที่ Berkeley ผมได้รับอนุญาตจากต้นสังกัดให้เข้าคอร์สปรับพื้นฐานที่ UC David (รูปที่ 1 ล่าง) (Cr: https://images.app.goo.gl/Y5HuKaaJay7jrBvW7) ประมาณ 1 เดือน ซึ่งในระยะเวลาดังกล่าวผมมีหน้าที่ต้องหาที่พัก เปิดใช้ น้ำ ไฟฟ้า ที่เมืองเบิร์กลี่ย์ (รูปที่ 2 ล่าง) (Cr: https://images.app.goo.gl/6Y89R8BMZAUBaidk8)ส่วนเรื่องการขอวีซ่า เข้าสหรัฐอเมริกานั้น (Cr. http://bee-mylife-myvoyage.blogspot.com/2015/02/blog-post.html) ไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆคิด เนื่องด้วยขณะนั้นอเมริกาค่อนข้างกวดขันเรื่องคนเข้าเมือง โดยเฉพาะคนไทยที่หวังจะไปเป็นผีน้อยที่อเมริกา ประกอบกับโปรแกรมที่ผมไปศึกษาต่อ คือ ปรับพื้นฐาน และปริญญาโท เป็นคนละที่ ส่งผลให้ ผมต้องขอวีซ่า 2 ครั้ง เพื่อเข้าสหรัฐสองครั้ง แม้สถานศึกษาจะอยู่ในรัฐเดียวกันก็ตาม ใช่ครับ ทางออกคือ ผมจำต้องออกมาขอวีซ่าครั้งที่สองที่ไทย! โดยผมต้องวางแผนเวลาในการจองคิว ณ สถานทูตสหรัฐล่วงหน้า อนึ่ง โอกาสที่เราจะได้รับวีซ่าหรือไม่นั้น ผมเดาว่า1. ไปทำอะไรที่สหรัฐอเมริกา?2. มีงานประจำทำหรือไม่ที่เมืองไทย (ถ้าไม่มีโอกาสถูกปฏิเสธมีสูงมาก)3. แหล่งทุน (เงินสนับสนุน) ซึ่งผมค่อนข้างโชคดีที่มีหน่วยงานสนับสนุนเรื่องทุน หากไม่มีคงต้องหอบฉโนดมาที่สถานฑูตเป็นแน่ มีความแปลกใจอยู่นิดว่า คนสัมภาษณ์วีซาเป็นต่างชาติที่พูดไทยได้ แต่ด้วยความที่จะถูกปฏิเสธวีซ่า เลยพูดภาษาอังกฤษไม่พูดไทย ประกอบกับผมเห็นตัวอย่างที่อยู่ข้างหน้า แม้จะแต่งตัวดูรวย แต่พูดไทยก็ไม่ได้สิทธิให้เข้าดินแดนเสรีภาพ และตัว Passport ผมก็เป็น Passport ราชการ เท่ากับว่าโอกาสที่ผมจะเป็นผีน้อยค่อนข้างต่ำ แต่ๆ ค่าเครื่องบิน ไป-กลับนั้น เข้าเนื้อ นั่งเครื่องบินว่าเล่นเสมือน บขส. เลยครับ ทว่าเวลาเดินทางไปสหรัฐนี่นานมาก ลองจินตนาการดูนะครับ ข้ามมหาสมุทร Pacific ตอนนั้นคิดในใจว่าถ้าผ่านสามเหลี่ยมเมบิวดาร์ ( เครดิต http://m553759.blogspot.com/2016/09/blog-post.html)ก็แค่หายป่ะครับ และประกันการเดินทางจะคุ้มครองหรือไม่นะ? ... เรียกว่าเป็นการเดินที่แสนนาน เล่นเอาหลับตื่น-หลับ-ตื่นไปหลายรอบ และดูหนังบนเครื่องแทบจะหมดแล้วนะครับ(เครดิต: https://www.google.com/maps/dir/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3/California,+%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2/@20.3039896,132.1589853,3z/data=!3m1!4b1!4m14!4m13!1m5!1m1!1s0x311d6032280d61f3:0x10100b25de24820!2m2!1d100.5017651!2d13.7563309!1m5!1m1!1s0x808fb9fe5f285e3d:0x8b5109a227086f55!2m2!1d-119.4179324!2d36.778261!3e4)แต่ที่ดีใจ คือ เวลาครับ ถ้าหากเราเดินทางจากไทยไปอเมริกาเหมือนว่าเราเดินทางแป๊บเดียว แต่ถ้าเดินทางจากอเมริกากลับไทยเวลาหายจ้า เพราะฉะนั้น จงระแวดระวังเรื่อง "เวลา"ให้ดีนะครับ ถ้าคุณสวมนาฬิกาแบบอะนาล็อก พึงปรับเวลาให้เป็นไปตามท้องถิ่นด้วยนะครับ ส่วนพวกดิจิทัลนี่มันจะปรับเวลาอัตโนมัติ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ เป็นต้นท่านผู้อ่านครับ ผมต้องขอย้ำว่า แคลิฟอร์เนียนี่ค่าครองชีพสูงมาก หากพิจารณาค่าตอบแทนที่ทางทุน ก.พ. มอบให้นั้น ถือว่าอยู่ในอัตราสูงสุดในบรรดารัฐอื่นๆในอเมริกาแต่ถ้าพอใช้ไหม ตอบเลยว่าไม่! ดังนั้นการหาที่พักจำเป็นต้องอยู่รวมหรือแชร์กันครับ เพราะนักเรียนต่างชาติที่มาเรียนที่นี่พูดเลยว่าต้องชนชั้นกลางค่อนไปทางสูงครับ ขนาดเด็กทุนอย่างผมและเพื่อนๆ บางเดือนจำเป็นต้องกดเงินจากไทยมาใช้เลยครับการมาใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกานั้น จะมีมารยาททางสังคมที่เหมือนแกมบังคับคือ การจ่ายทิป (ซึ่งเป็นมากกว่าการสมัครใจ) ดังนั้นงานบริการอะไรก็แล้วแต่ การจ่ายทิปจึงต้องถือเป็นเรื่องต้องทำ หากไม่ทำแปลเท่ากับว่าเรากำลังจะสื่อเป็นนัยว่าเราได้รับบริการที่ไม่น่าจะประทับใจ หากไม่อยากจ่ายทิปแนะนำสั่งกลับบ้านครับ!อย่างที่ผมเรียนว่าค่าครองชีพที่แคลิฟอเนียร์ค่อนข้างสูง เมื่อค่ากินอยู่ตามอัตราที่รัฐบาลกำหนด (ทุน ก.พ) จะให้สูงสุดตามข้อกำหนดแต่ในความเป็นจริง ผมและเหล่านักเรียนทุนจำเป็นต้องกดเงินส่วนตัวที่ไทยมาใช้บ้าง (กดผ่านบัตร ATM) ด้วยเหตุนี้ การหาที่พักคนเดียวนี่แทบจะต้องตัดไปเลยครับ เท่ากับว่าการอยู่รวมกับคนอื่นจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า เนื่องด้วยวิธีการดังกล่าวสามารถประหยัดได้ทั้งค่าที่พัก สาธารณูปโภค อาหาร และ อื่นๆอีกมากมาย นอกจากประหยัดค่าใช้จ่ายการมีเพื่อนร่วมห้อง - แม้จะสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง แต่ก็คุ้มที่ได้เรียนรู้ทักษะการช่วยเหลือเกื้อกูลกันนะครับ (เราคงไม่สามารถหาซื้อประสบการณ์เหล่านี้ได้จากที่ไหนบนโลก)อนึ่ง การเช่าห้องพักนั้น ผู้เช่าอาจต้องรับผิดชอบเรื่องขอเปิดใช้น้ำ ไฟฟ้า และ/หรือ อินเตอร์เน็ต เว้นแต่ผู้ให้เช่าจะได้จัดเตรียมไว้ทั้งหมดแล้ว และที่สำคัญ คือ พวกเครื่องนอน หมอน มุ้ง ฯ นี่เราในฐานะผู้เช่าต้องรับผิดชอบเอง และโปรดพึงระลึกไว้เสมอว่าที่พักที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมักแพง และอย่าลืมสำรวจพื้นที่อันตรายที่เราควรห่างไกล เพราะบางครั้งเราอาจต้องกลับบ้านดึก ไม่คุ้มกับเงินที่ประหยัดเพื่อแลกกับความปลอดภัย อันนี้ขอเตือนเลยนะครับมีคนรู้จัก/เพื่อน ให้ไปดูสถานที่จริงก่อนโอนเงินมัดจำนะครับ เพราะโกงกันมาเยอะแล้วส่วนการทำสัญญาเช่านั้นโลกเขาหมุนไปไกลและเร็วมาก การทำสัญญาแบบ Electronic จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ดังนั้น สิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้อย่างน้อย คือ passport + visa รวมถึงความสามารถในการชำระค่าเช่า (แหล่งทุนสนับสนุน) และที่สำคัญใกล้ร้าน super market ไหม? ก่อนจะออกสู่ทะเลไปมากกว่านี้ ขออนุญาตวกกลับมาที่เรื่องคณะบ้างดีกว่าครับเมื่อวันที่ผมมาถึงที่เบิร์กลี่ย์ (เครดิตภาพ https://images.app.goo.gl/fiEgRmeNG9xHLFHM8 & https://images.app.goo.gl/6v9ULPQZeuL2UTyC7) มันจะมีความตื่นเต้นเมื่อเห็นรั้วมหาวิทยาลัย ย้ำอีกนะครับ university of california ไม่ใช่ California University ไม่ได้จะประชดอะไรเลย) นอกจากป้ายมหาวิทยาลัยก็จะมีอีก 3 สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยได้แก่ หอนาฬิกา (เครดิต https://travel.sygic.com/en/poi/sather-tower-poi:58465) ห้องสมุด ((เครดิต https://plexuss.com/college/university-of-california-berkeley)และซุ้มประตู (เครดิต https://www.sfgate.com/opinion/article/Sather-Gate-s-checkered-past-3264764.php)แต่โชคดีที่ที่พักผมอยู่ใกล้รั้วมหาวิทยาลัย (เครดิตภาพ https://www.forrentuniversity.com/ca/berkeley/berkeley-apartments-berkeleyan/qs2empy) (โปรดดูชั้น 2 ห้องมุมซ้ายสุดครับ - ห้องพักผม) แค่หนึ่งช่วงถนน หรือเพียง 1 กม. ถึงคณะ แต่ถ้ามองจากพื้นที่ภูมิศาสตร์เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกันเพราะเหมือนขึ้นเขาทุกวัน - แต่มองเป็นการออกกำลังกายเมื่อพูดถึงการออกกกำลังมหาวิทยาลัยมียิมใหเด้วยนะเออ แม้จะห่างกันอยู่แต่ถือว่าผมใช้คุ้ม ผมอยากจะเอื้อนเอ่ยว่า อย่าเอาแต่เรียนสนใจสุขภาพด้วยนะ อีกอย่าง "งานดีสุดพูดเลย" กำลังใจในการออกกำลังกายมาถึงคณะของผมที่เรียกว่า Berkley Law School หรือ Boalt Hall (เครดิต https://www.berkeleyside.com/2017/04/17/former-law-dean-uc-berkeley-settle-sexual-harassment-suit)นอกจากเรื่องการเรียนสอน ผมประทับใจคาเฟ่(รูปล่าง1) Cr https://www.bravoyourcity.com/story/cafe-zeb และ ห้องสมุด (รูปล่าง2) Cr: http://btlj.org/library1/โดยเฉพาะเรื่องการเรียนการสอนนั้น ทางคณะมุ่งส่งเสริมความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่สุด กรณีผมนี่ได้ใบรับรองด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา เนื่องด้วยลงเรียนและสอบผ่านในรายวิชาดังกล่าวอีกประการ คือ ผมได้มีโอกาสได้เข้าชั้นเรียนในรายวิชาที่จำเป็นต้องเรียนกับเด็กคณะอื่น เช่น MBA และได้มีโอกาสได้ทำโปรเจคร่วมกัน เหล่านี้สะท้อนว่านิติศาสตร์จะอยู่เป็นสายหลักสายเดียวไม่ได้แต่ที่ร้ายที่สุด คือ การตัดเกรดร่วมกับเด็กอเมริกา ซึ่งข้อจำกัดด้านภาษาของพวกเขาไม่มี กะเหรี่ยงอย่างเราเป็นได้แค่ฐานให้เขาเหยียบแต่นี่ก็น่าจะถือเป็น Challenge ของชาวกะเหรี่ยงที่จะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ (พูดกับตัวเองว่า ก็ในเมื่อเลือกมหาวิทยาลัยต้นๆของโลก กรรมก็ตกเป็นของผู้เลือกเป็นธรรมดา) แต่ก็ต้องย้ำเตือนกับตัวเองบ่อยๆ ว่า การแบ่งเวลาย่อมสำคัญที่สุด เรียน-เที่ยว-ชิม-shop-ใช้-ออกกำลังกาย-พักผ่อน ต้องให้สมดุลที่สุด เพราะหากเป็นอะไรที่อเมริกา น่าจะซวย และท้ายที่สุดผมก็สำเร็จการศึกษามาได้ พร้อมทั้งใบตอบรับเข้า ปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต ที่ประเทศแคนาดา แต่ด้วยปัญหาสุขภาพ (ซึ่งผมจะได้เขียนในบทความต่อไป) ส่งผลให้ผมไม่สามารถเข้าเรียนในระดับปริญญาเอกได้