ผมอยากเข้ามหาลัยดี ๆ ผมว่าการเรียนไม่สำคัญเท่ากับการเข้ามหาลัยดี ๆ ได้ประโยคข้างต้น อันเป็นประโยคที่จะได้ยินทั่วไปในกลุ่มวัยรุ่นมัธยมของประเทศเกาหลีใต้ และในทุกเดือนพฤศจิกายน ที่ประเทศเกาหลีใต้ จะมี 1 วันที่เป็นวันสอบวัดระดับของนักเรียนเกาหลีที่เรียกว่า ซูนึง เป็นการสอบที่ใช้สำหรับยื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัย โดยวันนั้นประชาชนในเกาหลีใต้ ต้องพร้อมใจกันอำนวยความสะดวกให้นักเรียนทุก 1,200 จุดทั่วประเทศ ตลาดหุ้นจะเปิดช้ากว่าปกติ 1 ชั่วโมง หน่วยงานต่าง ๆ จะต้องพร้อมใจกันเปิดทำการสายกว่าเดิม เพื่อให้เด็กนักเรียนสามารถเข้าห้องสอบได้ทัน เจ้าหน้าที่ตำรวจและเหล่าอาสา จะมีรถมอเตอร์ไซค์คอยวิ่งส่งนักเรียนทั่วประเทศ พอถึงช่วงบ่าย สนามบินจะต้องหยุดทำการ 30 นาที เพื่อให้นักเรียนสอบการฟังภาษาอังกฤษสารคดีนี้โฟกัสที่นักเรียนไม่กี่คน แต่สะท้อนภาพรวมของการเรียนในเกาหลีใต้จนเห็นภาพกว้างที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อนว่า การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเกาหลีใต้นั้นเอาจริงเอาจังสุด ๆ โดยเตรียมการสอบถึง 1 ปี บางคนสอบไม่ได้ก็รอสอบใหม่อีก 1 ปี การสอบที่จริงจังนี้ ก็เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย 3 แห่งที่เรียกว่า SKY มีS = Seoul University มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลK = Korea University มหาวิทยาลัยเกาหลีY = Yonsei University มหาวิทยาลัยยอนเซที่ถือกันว่าเป็นที่สุดของประเทศนี้ และถือกันว่า การสอบซูนึง ถ้าพวกเขาทำพลาดแค่ข้อเดียว ชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนไปทันที เรียกได้ว่า ชะตาชีวิตในการเป็นนักศึกษาในเกาหลีใต้นั้น ขึ้นอยู่กับสมองและปากกาล้วน ๆ และเมื่อตีเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว การที่เด็กนักเรียนหลายล้านคน พุ่งตรงไปยังการสอบเพื่อเข้าสามสถาบันนี้ ก็จะมีเพียง 1% เท่านั้น ที่มีโอกาสได้เข้าเรียนในสถาบันนี้เมื่อดูไปสักพัก ภาพสะท้อนวัยเรียนของใครหลายคนอาจจะเด้งขึ้นมาและชวนให้หวนวันวาน ว่าสมัยเรียนของใครหลายคน ก็คงมีลักษณะเช่นนี้ เพียงแต่ความเข้มข้นคงไม่เทียบเท่า แต่อีกด้านหนึ่งก็จะตั้งคำถามว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเกาหลีใต้ ที่มีระบบสาธารณสุขที่ดี และการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ผลิตคนเก่งออกมามากมาย แต่ทำไมหลายครอบครัว กลับมีค่านิยมยึดติดกับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย มากกว่าการเข้าไปพัฒนาความสามารถเพื่อการออกมาสู่สายอาชีพ ทั้งที่เมื่อได้เห็นภาพกว้างแล้ว คนเกาหลีเก่ง ๆ ก็มีมากมาย จนอดสงสัยไม่ได้พวกเขามีความคิดแบบไหนกันอยู่ในสายเลือดที่น่าสนใจในสารคดีนี้คือภาพสังคมที่แสดงออกผ่านเรื่องนี้ ก็ทำให้เชื่อว่าประเทศไทย ก็ไม่ได้หนีจากพวกเขาเท่าไหร่ในเรื่องของระบบการศึกษา แต่ต่างกันแค่เรื่องรายละเอียดปลีกย่อยของเนื้อหา และวัฒนธรรมคนเกาหลีใต้ที่จะทุ่มสุดตัวเท่านั้นเอง จึงได้เห็นหมดทั้งการไหว้พระ การสวดมนต์ข้ามวันข้ามคืน หรืออย่างบางโบสถ์ที่เปิดให้เหล่าแม่บ้านทั้งหลาย ไปรวมตัวนั่งสวดภาวนากันแน่น โดยขอให้พระเจ้าอำนวยพรให้ลูกของพวกเขาสอบได้คะแนนสูง ๆ ที่ได้เห็นว่า แม้จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ความเชื่อในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีอยู่ ไม่ได้หายไปไหนจนเป็นเหมือนวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง และความอึดอัดตั้งแต่กลางเรื่องถูกผ่อนออกในช่วงท้าย ที่แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังกับความสำเร็จของเหล่านักเรียนสารคดีเรื่องนี้ไม่ได้แค่ทำให้เรารู้สึกบันเทิงไปกับความเข้มข้นทางการศึกษาของเด็กเกาหลีใต้ เพราะยังได้ชวนให้คิดว่าถ้าเด็กไทยทุ่มสุดตัวลงไปในการศึกษา แบบที่เด็กเกาหลีใต้ทำนั้น จะมีโอกาสที่เด็กไทยจะเป็นเลิศทางการศึกษาหรือไม่ เพราะในขณะเดียวกัน เมื่อเราได้เห็นข่าวคราวและระบบการศึกษาของฟินแลนด์ที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลก กลับใช้เวลาน้อยนิด ไม่เครียด และเจาะจงไปยังสิ่งนั้น ๆ มากกว่าการท่องจำเพื่อเข้าสถาบันดัง ๆ และได้ผลสำเร็จกว่า อาจจะทำให้ได้ฉุกคิดว่า การทุ่มเททุกอย่าง เพื่อให้ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงนั้น สำคัญกว่าการเป็นคนที่มีความสามารถหรือไม่ หรือแท้จริงแล้ว ระบบสังคม ค่านิยมต่าง ๆ ได้หลอหลอมให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา?ซื้อเพื่อรับชมได้ที่ Documentary Club แล้วดูได้ไม่จำกัด จนกว่าต้นสังกัดจะไม่ถือลิขสิทธิ์บทความโดย: กิตติพัฒน์ วิริยะรูปภาพ: Documentary Club