ผมมีโอกาสไปเยือนสาธารณรัฐจีน เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2562 ที่ผ่านมา ด้วยการโดยสารเครื่องบิน จากดอนเมือง ไปลงที่มหานครคุนหมิง มลฑลยูนนาน แล้วเดินทางเรื่อยไปตั้งแต่ คุนหมิง ลี่เจียง แชงกรีล่า และจุดหมายปลายทางสุดท้ายที่เมืองเต๋อชิง แต่ไฮไลท์ที่เป็นเรื่องราวการเดินทางที่น่าประทับใจ กลับเริ่มต้นที่เมืองแชงกรีล่า ดินแดนลับแลในนวนิยายขายดีของเจมส์ ฮิลตัน ซึ่งอันที่จริงแล้ว ชื่อเมืองแชงกรีล่านี้ เพิ่งจะมาปรากฏในหนังสือนวนิยายรักโรแมนติกของเจมส์ฮิลตันที่มีชื่อเรื่องว่า 'Lost Horizon' หรือชื่อไทยว่า 'ลับฟ้า ปลายฝัน' เมื่อปี ค.ศ.1933 นี้เอง ครั้นจะเล่าเรื่องการเดินทางทั้งหมด ก็เห็นทีจะเขียนยาวยืด สามวันก็ไม่จบเป็นแน่แท้ เอาเป็นว่า ผมจะขอตัดฉาก เริ่มต้นเล่าเรื่องการเดินทางในส่วนของแชงกรีล่าเลยก็แล้วกัน การเดินทางสู่แชงกรีล่า เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 3 ของทริป เราเดินทางจากเมืองลี่เจียง โดยรถโดยสาร ซึ่งวิ่งไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางเริ่มสัมผัสได้ถึงทุ่งหญ้าเขียวขจี และป่าสน จะว่าดูแห้งแล้งก็คงไม่ผิดนัก บ้านเรือนเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นบ้านเรือนสไตล์ทิเบต คือเป็นบ้านที่ใช้ต้นสนทั้งต้น ทำเป็นซุงต่อกันทั้งหลัง แต่ที่ชอบที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องอากาศที่หนาวเย็น จนจับขั้วหัวใจ แม้ช่วงที่เราไปนั้น ประเทศไทยกำลังร้อนตับแล่บก็ไม่ปาน รถบัสโดยสารจอดลงที่สถานีขนส่งเมืองแชงกรีล่า ผมและเพื่อนร่วมทริปอีก 3 คน เดินลงจากรถอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ทริปนี้เป้นทริปที่ทรหดสำหรับเรา เพราะเราไม่สามารถพูดภาษาจีนกันได้เลย นั่นเองเป็นที่เราได้พบกับ "หลงปู้" คนขับรถตู้เช่า จอมโวยวายแห่งเมืองแชงกรีล่า ผู้ที่เป็นสีสัน ตลอดการเดินทางในทริปนี้ของเรา... หลงปู้มีร่างกายสูงใหญ่ กำยำ ผิวคล้ำดำแดด เมื่อแรกพบ เขาพูดภาษาจีนเสียงดังโวยวาย ปานจะดุเราก็ว่าได้ แต่จงเข้าใจ ว่านั่นคือพฤติกรรมทั่วๆไปของคนจีน คือการพูดที่เสียงดัง และฉะฉาน เขาเข้ามาทักทายเราด้วยภาษาจีน เราเองพยายามคุยต่อรองกับเขา ด้วยกูเกิ้ลทรานสเลท แต่ก็รู้สุึกเหมือนจะไม่ได้ความ จนผมต้องพูดภาษาอังกฤษ และต่อรองราคาผ่านทางโทรศัพท์ กับพี่ชายของหลงปู้ ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ วันนั้นเราตกลงราคา และนัดหมายกันเรียบร้อย เราแยกย้ายเข้าที่พักกันตามอัธยาศัย ซึ่งที่พักของเรา ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าจ่งเตี้ยน ตั้งแต่เรามาถึง เราเริ่มรู้สึกว่า อากาศที่นี่เบาบางมากเหลือเกิน นั่นเป้นเพราะเราอยู่ในระดับความสูงจากเหนือระดับน้ำทะเลถึง 1,360 เมตร เราพักกันพอหอมปากหอมคอ ก็ออกเริ่มเดินชมเมืองเก่าแชงกรีล่า ในย่านเมืองเก่า เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย เรากินซุปหม้อไฟทิเบตเพิ่มหลัง ซึ่งว่ากันว่า หม้อไฟนี้ จะช่วยทำให้เรา อาศัยอยู่ในสภาวะอากาศที่ค่อนข้างเลวร้ายนี้ได้ เหมือนเป็นการปรับสมดุล บังเอิญเดินไปเจอคาเฟ่ร้านหนึ่ง ซึ่งในร้าน มีชาดอกไม้ขายด้วย ผมทดลองสั่งมาดื่ม พบว่า ชาดอกไม้ที่นี่ มีรสชาติดีมาก จนอยากจะซื้อกลับไปที่เมืองไทย แต่สอบถามเจ้าของร้านก็ต้องเสียใจ เพราะเขาทำขายเฉพาะที่ร้านเท่านั้น หลังจากอิ่มท้อง เราก็เดินเช่น ชมความงดงามในยามค่ำคืนของเมืองแชงกรีล่า น่าแปลกที่แม้จะเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว พระอาทิตย์ก็ยังไม่ลับจากฟ้า กลับส่องสว่างสดใสราวกับแสงยามบ่ายสี่โมงเย็นที่เมืองไทยของเรา นั่นเป้นเพราะแชงกรีล่านั้นอยู่สูงกว่าเมืองไทยของเรามากยังไงล่ะครับ เราเดินขึ้นไปบนวัดต้าฝอ บนวัดประดับประดาไปด้วยธงมนตราทิเบต ที่มีความเชื่อกันว่า มีบทสวดอยู่ในธงมนต์ เมื่อใดที่ยามลมพัด ก็จะพัดพาเอามนตรานั้นลอยไปตามสายลม ความงดงามของกงล้อมนตราสีทอง และวัดต้าฝอในยามค่ำคืน ก็สะกดให้เรา หลงรักต้องมนต์เมืองแชงกรีล่า และหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เล่ากันต่อถึงประวัติของเมืองแชงกรีล่า อย่างที่บอกไปว่า การปรากฏของชื่อ แชงกรีล่า นั้น เป็นชื่อเมือง ในอุดมคติในนิยายขายดีของเจมส์ฮิลตัน โดยเขาอธิบายไว้ว่า เมืองแชงกรีล่านั้น เป็นเมืองที่สงบสุข ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ภูเขาหิมะ ผู้คนดำรงสมณะเพศ อยู่ในศีลในธรรม เป็นเมืองในอุดมคติที่สวดงามและสงบเงียบ ท่าามกลางรายล้อมความวุ่นวายของโลกภายนอก ซึ่งจากนวินิยายเล่มนี้ มีคนหลายคนพยายามตามหาเมืองแชงกรีล่านี้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว มันซ่อนตัวอยู่ที่ใด ทว่า หากถามพระลามะ ท่านก็จะตอบเราว่า แชงกรีล่า อยู่ในใจของคุณ คุณจะเป็นผู้สัมผัสมันได้เองเมื่อไปถึง แต่เดิมเมืองแชงกรีล่านี้ มีชื่อว่าเมือง จ่งเตี้ยน แต่วันดีคืนดี เมืองจ่งเตี้ยนเกิดไฟไหม้ ลุกลามเสียหายไปครึ่งเมือง ทางการจีนตอนนั้นก็ฉกฉวยโอกาสนี้ เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ เป็นชื่อเมือง แชงกรีล่า ตามนวนิยายของเจมส์ ฮิลตันที่กำลังโด่งดังในขณะนั้น และผลักดันให้แชงกรีล่า กลายเป้นเมืองท่องเที่ยวโดยปริยาย....และนี่คือ ที่มาที่ไปของเมืองแชงกรีล่า ทว่า จุดหมายปลายทางของผม คือ เมืองเต๋อชิง ซึ่งอยู่ในเขตมลฑลเดียวกัน แต่ต้องขับรถลึกเข้าไปอีก จนเกือบจะถึงชายแดนทิเบต ที่ที่ผมตั้งใจไว้ว่า สักครั้งหนึ่งในชีวิต ต้องมาเยือนที่นี่.... เช้าวันรุ่งขึ้น เราเตรียมพร้อมกันที่ล็อบบี้โรงแรม ไม่นานนัก ไดรว์เวอร์ของเราก็มาถึง การเดินทางสู่เมืองเต๋อชิงก็เริ่มต้นขึ้น เรานั่งรถของหลงปู้ ไดรว์เวอร์ชาวจีนอารมณ์ดี ที่บัดนี้ เขาพยายามชวนเราคุยด้วยภาษาจีนไปตลอดทาง รถของเราเริ่มวิ่งไปบนถนน ที่สองข้างทาง เต็มไปด้วยป่าสน และภูเขาสูง จู่ๆไดรว์เวอร์ของเรา ก็พึมพำๆ เป็นภาษาแปลกๆที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน คล้ายการสวดมนต์คาถา พร้อมนับลูกปะคำในมือไปด้วย เป็นเวลานานเลยทีเดียว นั่นคือการสวดมนต์ ขอพรให้แก่เรา ได้เดินทางอย่างราบรื่นโดยสวัสดิภาพ นับเป็นประสบการณ์ที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยในชีวิต เราจอดแวะพักรถและกินข้าว ที่ร้านอาหารร้านหนึ่งริมถนน ระหว่างเมือง ซึ่งอยู่ในเขตทุรกันดารพอสมควร เพราะบัดนี้ จากภูเขาเขียวขจี มันกลายเป็นภูเขาที่มีแต่หญ้าแห้งๆ เหมือนทะเลทรายก็ไม่ปาน ซึ่งเป้นสิ่งที่แปลก เพราะแม้จะมีอาณาเขตที่ใกล้กัน แต่กลับมีภูมิประเทศที่ต่างกันลิบลับ บางครั้งเป็นป่าสน บางครั้งเป้นทะเลทราย เล่นเอาเราปรับตัวเกือบไม่ทัน เรื่องอาหารการกินที่นี่ ค่อนข้างจะยากลำบาก เราสั่งซุปไก่หนึ่งถ้วย ซึ่งในตอนแรก เราสั่งแค่ครึ่งตัว แต่แม่ค้าบอกว่า ไม่ได้ เพราะเขาฆ่าไก่ทั้งตัวแล้ว... ผมมารู้ทีหลังว่า ชาวจีนแถบชายแดนทิเบตนั้น มีความเชื่อและศาสนา เหมือนกับทิเบต คือ เขาจะไม่ฆ่าสัตว์โดยไม่จำเป็น และชีวิตทุกชีวิต มีคุณค่า แม้จะเป็นไก่เพียงแค่หนึ่งตัว แต่หากฆ่าแล้ว ก็ไม่ต่างจากการฆ่าวัวหนึ่งตัว ดังนั้น เราจะต้องกินไก่ตัวนี้ให้หมดเท่านั้น หลังจากอิ่มท้อง เราก็ออกเดินทางกันต่อ รถของเราวิ่งผ่านโค้งหัวเต่า ซึ่งเป็นโค้งแม่น้ำแยงซีเกียงที่ขึ้นชื่อ ในระหว่างที่รถวิ่งไป เราเริ่มมองเห็นยอดภูเขา ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะบ้างแล้ว ไม่นานนัก สิ่งที่ผมรอคอยก็มาถึง.....รถของเราวิ่งลอดอุโมงค์ ที่เจาะผ่านภูเขาทั้งลูก ปลายอุโมงค์คือแสงสว่าง เมื่อพ้นแนวอุโมงค์แล้ว สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเรา คือภาพที่เราไม่มีวันลืม ภาพภูเขาหิมะสูงเสียดฟ้า สีขาวโพลน ส่องสะท้อนแสงยามบ่าย สว่างสไวไปทั่วทั้งหุบเขา ลมหนาวเย็นยะเยือกปะทะผิวกายเราในขณะที่เราลดกระจกลง สูดอากาศบริสุทธิ์ เราเข้าใกล้ถึงจุดหมายของเราแล้ว เพราะนั่นคือ 'ภูเขาหิมะเหมยลี่' ภูเขาหิมะเหมยลี่ เป็นส่วนยอดที่สูงที่สุดในเทือกเขาคาวาเกโป ตั้งอยู่ที่เมืองเต๋อชิง มลฑลยูนนาน ใกล้ชายแดนทิเบต ซึ่งชาวทิเบตมีความเชื่อว่า เป็นภูเขาแห่งเทพทั้ง 8 ที่ต้องมาสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต ในยามเช้าถ้าเราโชคดี เราจะเห็นภูเขาหิมะเหมยลี่ สะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า ส่องเป็นภูเขาสีทองทั้งลูก เราทั้งสี่คนได้แต่ตะลึงพรึงเพริด กับภาพภูเขาหิมะเหมยลี่ ที่แม้ขณะนี้เป็นยามบ่าย แต่มันก็สวยงามตรึงตราตรึงใจเราไปชั่วนานแสนนาน ต่างจากเจ้าหลงปู้ ที่นั่งหัวเราะคิกคัก เมื่อเห็นเราตะลึงพรึงเพริดไปกับภาพที่อยู่ตรงหน้า เราจอดชมชมความยิ่งใหญ่ของภูเขาหิมะเหมยลี่กันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลา เข้าที่พัก ซึ่งโรงแรมที่เราพักนั้น สามารถมองเห็นภูเขาหิมะเหมยลี่ จากห้้องนอนของเราได้เลย เรียกได้ว่า ที่พักหลักร้อน วิวหลักล้านอย่างแท้จริง ผมหลับไปพร้อมๆกับภาพภูเขาหิมะเหมยลี่ ภายในห้องนอนที่แสนอบอุ่น จากเตียงฮีตเตอร์ของเรา เช้าวันรุ่งขึ้น เราหวังจะได้เห็นภูเขาหิมะเหมยลี่สีทองอย่างที่เราต้องการ ผมรีบล้างหน้าล้างตา ออกไปมองนอกหน้าต่าง ทว่า สิ่งที่น่าเสียดายก็เกิดขึ้น เมื่อท้องฟ้า ปิดสนิท จนเรามองไม่เห็นยอดเขาใดๆ เมฆครึ้มดำทะมึนเหมือนเมฆฝน ปกคลุมยอดภูเขาหิมะจนมิด แม่นางเหมยลี่คงขี้อาย ไม่กล้าเผยตัวตนให้เราได้ชื่นชม ผมพึมพำด้วยความเสียดาย แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังเห้นภาพ คนหลายคน ก้มลมกราบราบ แบบอัษฎางคประดิษฐ์ ไปยังภูเขาเบื้องหน้าของพวกเขา บ่งบอกได้ถึงความศรัทธาที่แรงกล้า เอาเป็นว่า เราเก็บความทรงจำดีๆนี้ไว้จะดีกว่า เราต้องตัดใจเดินทางกลับ เมื่อเราจะต้องไปให้ทันขึ้นไฟลท์บินที่คุนหมิง ในวันรุ่งขึ้น ก่อนกลับ เราแวะชมความงดงามของวัดซงจ้านหลิน ซึ่งเป็นวัดลามะ ที่มีสถาปัตยกรรมจำลองมาจาก พระราชวังโปตาลา ในประเทศทิเบต ที่นี่เอง เราได้สัมผัสกับความศรัทธาของพระพุทธศาสนานิกายวัชรญาณ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างเข้มข้น เราได้เห้นการเดินกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ คือกราบราบไปทั้งตัว เราพบเจอกับพระพุทธรูปปางแปลกๆที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เสียดายที่ไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพภายในวิหาร หลังจบทริปนี้ สิ่งที่เราได้รับ จากการเดินทาง คือ การค้นพบว่า จุดหมายปลายทาง ก็สำคัญ แต่ทว่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางนั้น บางครั้งเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และให้ประสบการณ์ของเราได้มากกว่่าปลายทางซะอีก ดังนั้น จงเก็บเกี่ยวเรื่องราวระหว่างการเดินทางเอาไว้ให้ดี.... ปล. อยากอ่านเรื่องราวเต็มๆ อ่านได้ที่ ตอนที่ 1 : https://th.readme.me/p/24819 ตอนที่ 2 : https://th.readme.me/p/24863 ตอนที่ 3 : https://th.readme.me/p/24923 เรื่อง : จิรวัสส์ สุทธิพิทยศักดิ์ (เที่ยวก่อนแก่) ภาพ : จิรวัสส์ สุทธิพิทยศักดิ์ (เที่ยวก่อนแก่) Facebook : Thailand Local