การเป็นแชมป์ในรายการที่มีแต่ "สุดยอดทีม" ร่วมแข่งขัน อาจจะตีความได้ว่า "คุณคือสุดยอดของสุดยอดทีม" แล้วถ้าตลอดเส้นทางสู่บัลลังก์ก็สวยหรูด้วยสถิติ "ชนะรวด" อีกล่ะ? นั่นคือผลงานของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ชุดอายุไม่เกิน 17 ปี ในรายการ BMA U17 Invitation Super Cup 2020 ซึ่งสมาคมกีฬาจังหวัดกรุงเทพมหานคร ร่วมมือกับกรุงเทพมหานครและห้างร้านพันธมิตรต่าง ๆ จัดขึ้น "ที่เราใช้ชื่อการแข่งขันว่า Invitation Super Cup ก็เพื่อสื่อความหมายว่าทีมที่ได้รับเชิญมาแข่งขันในรายการนี้คือสุดยอดทีมของประเทศไทยและกรุงเทพมหานครเลยครับ" นพ.พิชญา นาควัชระ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ประธานจัดงานพูดถึงเหตุผล "โดยเป็นทีมจากกรุงเทพมหานคร 8 ทีม (8 โรงเรียน) และมีทีมรับเชิญเป็นสโมสรชื่อดังจากทั่วประเทศอีก 4 ทีม" ทีมรับเชิญแต่ละทีมนี่ว้าว ๆ ทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด (ร.ร.ภัทรบพิตร), เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด (ร.ร.โพธินิมิตร), ชลบุรี (ร.ร.ท่าข้ามพิทยาคม) และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด (ร.ร.วัดเขียนเขต) ส่วน 8 ทีมโรงเรียนในกรุงเทพมหานครมีทั้ง 4 ยักษ์ใหญ่จตุรมิตร ร.ร.สวนกุหลาบ, ร.ร.เทพศิรินทร์, ร.ร.กรุงเทพคริสเตียน และ ร.ร.อัสสัมชัญ รวมทั้งโรงเรียนชื่อดังเชิงลูกหนังทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ร.ร.อัสสัมชัญธนบุรี, ร.ร.สุรศักดิ์มนตรี, ร.ร.ปทุมคงคา และ "เจ้าภาพ" ร.ร.กีฬากรุงเทพมหานคร รองปลัดกรุงเทพมหานครคนเก่งกล่าวปิดท้ายถึงจุดประสงค์ในการจัดรายการนี้ขึ้นมาว่า เราต้องการพัฒนานักกีฬาระดับเยาวชน เพื่อส่งต่อให้ทีมชาติไทยต่อไป ในขณะที่ทีมชุดใหญ่ของ "บลู แมชชีน" บีจี ปทุม ยูไนเต็ด กำลังเดินหน้าล่าความสำเร็จในไทยลีก ด้วยการทุ่มไม่อั้น ดึงนักเตะระดับ "บิ๊กเนม" มาเสริมทีมแทบทุกขุมกำลัง ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังมีพื้นที่ให้นักเตะดาวรุ่งที่ปั้นขึ้นมาเองจากทีมเยาวชนสอดแทรกอยู่เสมอ เช่น ศุภศักดิ์ สารภี วิงแบ็กซ้ายวัย 20 ปีที่ได้รับโอกาสประเดิมทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในนัดที่ชนะ สุพรรณบุรี แถมยังซัดหนึ่งประตูในการเดบิวท์ด้วย นโยบายทีมเยาวชนยังมีความสำคัญในถิ่นคลองสี่เสมอ และทีม U17 ที่ลงแข่งขันรายการ BMA U17 Invitation Super Cup 2020 ก็เป็นทีมที่น่าจับตาไม่น้อย ทีมนี้เล่นด้วยกันมานาน ผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่เคยทำได้ก็คือ แชมป์คิงเพาเวอร์คัพ นั่นเอง โดยในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย นั่นก็คือการก้าวเข้ามาคุมทีมของ "โค้ชโต่ย" ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย อดีตเฮดโค้ชทีมชาติไทย ผมเข้ามาทำชุดนี้ได้ประมาณ 4 เดือน จริง ๆ แล้วเด็กชุดนี้อยู่ด้วยกันมานานและเล่นเข้าขากันดีอยู่แล้วแหละ แต่สิ่งที่ผมมาเพิ่มให้ก็คือแท็กติกและทัศนคติในการเล่น เพิ่มแท็กติกเรื่องเกมรับ ใส่เรื่องเพรสซิ่งให้เยอะ เพราะคิดว่าบอลสมัยใหม่เราต้องปั้น ต้องสร้างให้พวกเขาตั้งแต่ตอนนี้ ขึ้นไปเล่นชุดใหญ่ในอนาคตจะได้เรียนรู้ได้เร็ว ในปีที่แสนสาหัสกับวิกฤตโควิด-19 ทีมชุดนี้แทบจะไม่มีรายการแข่งขันเลย จนต้องมาคัดเป็นตัวแทนจังหวัดปทุมธานีเพื่อไปแข่งคัดเขต 1 สำหรับกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งประเทศไทยต่อนั่นแหละ ถึงได้มีการเตรียมทีมอย่างจริงจัง แล้วก็มาต่อด้วยรายการอินวิเตชันรายการนี้ "ด้วยการที่ไม่มีรายการเล่นมาแทบทั้งปี ผมเลยคุยกับพวกเขาว่า เวทีนี้จะเป็นเวทีที่ได้พิสูจน์ตัวเอง ได้สร้างเนื้องานคุณภาพให้ดี ให้ผู้ใหญ่ในทีมได้เห็น" โค้ชโต่ยพูดถึงเป้าหมายของทีม โดยในรอบแรก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด อยู่ในกรุ๊ป ออฟ เดธ เมื่อได้ ร.ร.สวนกุหลาบ, ร.ร.อัสสัมชัญธนบุรี และ ร.ร.ปทุมคงคา เป็นเพื่อนร่วมสาย แม้จะเป็นกลุ่มแห่งความตายขนาดนั้น แต่พวกเขาก็ฝ่าฟันเข้าเป็นที่ 1 ของสายได้สำเร็จ ด้วยการชนะ 3 นัดรวดแบบหล่อ ๆ กันเลย เริ่มตั้งแต่การถล่ม ร.ร.อัสสัมชัญธนบุรี ยับเยิน 4:1 ต่อด้วยการเฉือนชนะ "รองแชมป์ 18 ปีประเภท ก กรมพลศึกษาปีล่าสุด" อย่าง ร.ร.สวนกุหลาบ อีก 2:1 และปิดท้ายด้วยการถล่ม ร.ร.ปทุมคงคา อีก 4:0 รอบ Quarter final ก็ยังเจอคู่แข่งที่หนักหนาใช่ย่อย เมื่อโคจรมาพบกับ "กิเลนผยอง จูเนียร์" หรือเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แต่เด็ก ๆ บีจี เหมือนฟอร์มเข้าฝักกันแล้ว ถล่มชนะไปได้อีก 3:0 ร.ร.สุรศักดิ์มนตรี ที่ขนชุดแชมป์ 16 ปี ประเภท ก กรมพลศึกษาปีล่าสุดลงเล่น...คือด่านต่อไปที่เด็ก ๆ บีจี ต้องฝ่าฟันในรอบรองชนะเลิศ ณัฐกิตติ์ บุตรสิงห์ อดีตดาวซัลโวคิงเพาเวอร์คัพยิงให้ "บลู แมชชีน จูเนียร์" ขึ้นนำในครึ่งแรก ก่อนที่จะพบกับงานยากลำบากในครึ่งหลัง เมื่อ "บลู อาร์มี" สุรศักดิ์มนตรี โขยกใส่ไม่ยั้ง จนเจียนอยู่เจียนไปหลายทีเหมือนกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็รักษาสกอร์ไว้ได้ และได้เข้าชิงชนะเลิศกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โค้ชโต่ย พูดถึงการเล่นในครึ่งหลังว่า คือ...ฟุตบอลมันก็แบบนี้แหละครับ จะพีคทุกนัดไม่ได้หรอก ครึ่งหลังเราแผ่วไปเพราะเจอสถานการณ์ที่ไม่เคยเจอ บอลสุรศักดิ์ฯเค้าแข็งแรง เค้าโยนเข้าใส่ เจอแบบนี้มาก ๆ เข้า เลยทำให้การเล่นของเราดร็อปลงไป แต่ผมมองว่าอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ที่พวกเขาได้เจออะไรที่ไม่เคยเจอบ้าง ก็อาจจะช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ก่อนเล่นนัดชิงกับบุรีรัมย์ครับ พวกเขาจะได้มีความกระหายเพื่อชูถ้วยแชมป์และปูทางให้พวกเขาได้เป็นนักเตะอาชีพและติดทีมชาติเยาวชนต่อไป 2 ประตูที่ยิงนำบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดอย่างรวดเร็วทำให้แชมป์รายการนี้ดูไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับบีจี ปทุม ยูไนเต็ด แต่การโดนตีไข่แตกหลังจากนำ 2 ลูกไม่นานทำให้เกมนี้ยังออกได้ทุกหน้า พักครึ่ง "โค้ชโต่ย" จึงตัดสินใจงัดไพ่ใบเด็ด พร้อมกับเปลี่ยนเชฟการเล่นในแดนหน้าใหม่...ไพ่ใบเด็ดที่ชื่อว่า"กุลวัต หัสถาพันธ์" หรือ "คิม" เด็กหนุ่มวัย 16 "คิมเป็นคนที่มีสกิลและไอเดีย ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนลงมาเพราะคุยกับทีมงานแล้วว่า คิมนี่แหละจะเป็นคนจ่ายบอลให้เพื่อนยิง โดยผมจับเขาเล่นกลางรุก หลังคู่กองหน้า แล้วก็เพื่อมาจัดการกับเบอร์ 6 ของบุรีรัมย์ (ภาณุวิชญ์ ศิลาพงษ์) ที่ตัดบอลดี เลี้ยงบอลได้ แล้วก็จ่ายบอลได้ ให้ต้องมากังวลกับการดูแลพื้นที่ที่คิมเล่นด้วย" โค้ชโต่ยให้เหตุผล ได้ผลเกินคาด คิมทำแอสซิสได้ถึง 2 ลูก ส่งให้คู่หน้าอันตรายอย่างณัฐกิตติ์ บุตรสิงห์และศุภสัณห์ อาจรอดสังหารคนละประตู ก่อนที่จะคว้าแชมป์ด้วยสกอร์สุดสวย 4:1!!! "โค้ชโต่ยบอกให้ผมกล้าเล่น กล้าเทิร์นบอล กล้าเลี้ยง กล้าเล่นร่วมกับรุ่นพี่ครับ ก็ประทับใจแมตช์ชิงนี่ที่สุดแล้วครับ ที่ผมทำผลงานได้ดี ทำได้ 2 แอสซิสต์ด้วย" มิดฟิลด์ตัวรุกวัย 16 ปี ผู้เปลี่ยนโฉมเกมนัดชิงชนะเลิศเปิดใจ ส่วน โค้ชโต่ย พูดถึงการคว้าแชมป์ในครั้งนี้ว่า สกอร์ก็เกินคาดนะเพราะเป็นคู่ชิงด้วย แต่ก็เป็นจังหวะของเราที่เราทำได้ ฟุตบอลก็เป็นแบบนี้แหละครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยรวมแล้วเป็นเกมที่สนุกครับ เด็กเราเล่นกันได้ดี เล่นได้ตามแท็กติกที่ซ้อมมา เล่นด้วยความกระหายและอยากได้แชมป์ เพื่อปูชื่อพวกเขาให้ก้าวเข้าสู่ทีมชาติต่อไป เลยทำให้เกิดพลังขึ้น และแน่นอน...นี่คือขุมกำลังรุ่นใหม่ที่พร้อมจะก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่ สานต่อความสำเร็จต่อจากรุ่นพี่บีจี ปทุม ยูไนเต็ดต่อไปในอนาคต "ชุดนี้...ผมมองว่าถ้าเป็นปีนี้-ปีหน้าก็อาจจะเร็วไปสำหรับชุดใหญ่ แต่หลังจากนั้น ผมบอกได้เลยว่ามีหลายคนที่สามารถก้าวขึ้นไปเล่นระดับไทยลีกได้ เช่น เบอร์ 8 (ศตวรรษ ลีลา), เบอร์ 16 (ธนกฤต ละออไขย์) คนนี้ต้องปรับอีกหน่อย แล้วก็เบอร์ 23 (ศุภสัณห์ อาจรอด) ส่วนอนาคตของทีมก็แล้วแต่ผู้บริหารของบีจีครับว่าจะสร้างพวกเขา หรือหาแนวทางช่วยพัฒนายังไงต่อไปเพื่อเป็นนักเตะอาชีพในวันข้างหน้าครับ" โค้ชโต่ยร่ายยาวถึงอนาคตอันสดใสของเด็ก ๆ รุ่นใหม่เหล่านี้ ในขณะที่ผู้อำนวยการสโมสรอย่าง "โค้ชง้วน" สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ที่มาชมเกมนัดชิงชนะเลิศด้วย พูดถึงทีมแห่งอนาคตนี้ว่า ทีมนี้เป็นทีมที่คุณภาพใช้ได้เลย เราสร้างมาหลายปีแล้ว ทุกคนอยู่ด้วยกันมานาน เล่นกันด้วยความเข้าใจ แต่การสร้างทีมในระดับนี้ต้องใช้เวลาเพราะต้องมีการแก้ไข ต้องปรับปรุงตลอด นี่ก็เป็นทัวร์นาเมนท์ที่พวกเขาได้ทดสอบเพื่อเรียนรู้ ก่อนจะก้าวไปเล่นในทีมชุดใหญ่ต่อไป ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร นี่คือก้าวแรกที่แสนงดงามและก้าวต่อไปคงต้องเดินด้วยความแข็งแกร่ง อดทนและมีวินัย จดจำชื่อพวกเขาเหล่านี้ไว้ให้ดี...ไม่แน่อีก 4-5 ปีข้างหน้า อาจจะมีหลาย ๆ คนก้าวขึ้นมาโชว์ฝีเท้าที่น่าประทับใจในระดับไทยลีกต่อไปก็ได้ ภาพโดยนักเขียน