EP1 เมฆก่อตัว. ผมเป็นผู้รับเหมาทำงานออกแบบตกแต่งภายในและผลิตงานไม้ Turnkey 19 กันยายน 2557 ผมเดินทางไป ทำงานภาคตะวันออก. เช้าวันนั้นผมรู้สึกขี้เกียจ อ้างตัวเองเหมือนเพลีย เลยไม่ไปที่ไซด์งาน สายๆเริ่มหิว ไปหาอะไรกินดีกว่าตืด...ตืด...ติดๆ.., นางเจ็ดพลัส โคตะระทน จากทรูวิชั่นส์จริงครับ มันเขย่าสั่น จนกางเกงจะหลุด เห็นขอบบ๊อกเซอร์แพรม ผมรีบดึงขอบกางเกงไม่ให้มันอุดจาดตาไปกว่านี้ ขณะเดินหาอาหารเช้าในตลาดใหญ่ ภาคตะวันออก มืออีกข้างควานหาโทรศัพท์ ผมเป็นอย่างนี้ทุกที สมองซีกขวา สั่งมือทำงานผิดข้าง กว่าจะกดรับสายได้เหมือนคุณตาแก่ๆ เก้ๆกังๆ แต่แล้วก็ได้รับสาย นั่นภรรยาผม พี่. พี่พี่. ได้ยินมั๊ย คุณแม่อาการไม่ดีเลย.แกปวดหัวมาก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว รีบมานะ เสียงเธอ แปลกแต่เรียบๆพยายามคุมความรู้สึก แล้วแม่เป็นอย่างไรบ้าง หมอบอกเป็นอะไรมั๊ย ผมถาม ภรรยาบอกผมว่าหมอขอคุยด้วย อาการผมเหมือนคนมึน เหงื่อออก จะเป็นลม สับสน งานยังค้างคาที่นี่ ผมโทรแจ้งหัวหน้างาน โทรจองตั๋วเครื่องบินด่วน เข้ากรุงเทพเดี๋ยวนั้น เสียเวลาเดินทางร่วม3ชั่วโมงเหมือน3ปี มาถึง โรงพยาบาล ได้พบภรรยา แล้วเข้าเยี่ยม แม่ที่ห้องicu ผมถามแพทย์ผู้ตรวจ คุณหมอแจ้งว่าสัญญานความดันของแม่ผิดปรกติคือ ค่าวัดความดันแขนซ้ายและแขนขวา ผลความดันแตกต่างอย่างมาก ซึ่งในบุคคลทั่วไป จะไม่แตกต่างกันมากคุณแม่ผมป่วยเป็นโรคแปลกหาพบยาก เป็น 1 ในเรือนแสนราย ที่จะเป็นผู้ป่วยในผู้สูงอายุไทย ชื่อทางการแพทย์ ตั้งตามชื่อแพทย์ชาวญี่ปุ่นที่พบ คือโรคทากายาสุ ยาวครับ คร่าวๆคืออาการภูมิคุ้มกันมากเกินไป ป้องกันอวัยวะบางอย่างจนสุดท้ายทำลายตัวเอง อาการระบบหลอดเลือดใหญ่จะบีบตัว ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เกิดอาการแทรกซ้อนตามมา มากมาย ผู้ป่วยจะเจ็บปวดบริเวณที่หลอดเลือดบีบตัวอย่างมาก คือถ้าหน่วยปวดคือเต็มสิบ ผู้ป่วยจะไป12คือเลยปวดไปเลยครับ ผมทั้งสงสารคุณแม่ ทั้งเจ็บปวดแทนท่านไม่รู้เป็นอย่างไร ท่านต้องพบแพทย์เฉพาะทางถึง4โรค คือแพทย์นิวโร แพทย์อายุกรรม แพทย์หัวใจและหลอดเลือด และแพทย์รูมาโตย์ เข้าอุโมงค์ทำMRI ดูจุดหลอดเลือดยุบ เกินสามตำแหน่งขึ้นไป มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นอาการโรคแปลกนี้ ทีมแพทย์จะสรุปให้คุณหมอรูมาโตให้ยา สเตียรอยด์ เริ่มครั้งแรกทาน12เม็ด และยาอื่นๆอีกมากมาย ผมกับแม่กลายร่างเป็นแฝด ตัวติดกัน เข้าออกโรงพยาบาล พบแพทย์คราวละ รวมแพทย์4สาขา ตามที่เล่า บางครั้งท่านทานยาแล้วท่านจะอาเจียน ทานอาหารลำบากมาก คอยปรับขนาดปริมาณยาให้เหมาะสมเดี๋ยวลดเดี๋ยวเพิ่มตัวยาและจดบันทึกความดันผมและแม่ต้องปรับตัวกันในวัยสูงอายุ ตอนนั้น ผม 48 คุณแม่ 79 ท่าน มีผมคนเดียวคุณพ่อจากเราไปนานแล้ว ผมขอบคุณภรรยาที่ช่วยแบ่งเบาภาระดูแลลูก และอาหารการกินของทุกคน ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกสับสนและกังวล แบ่งแยก ระหว่างงานและสุขภาพแม่อย่างลำบาก เหมือนจะบ้าและหดหู่ ผมต้องนอนข้างๆเตียงแม่ เพราะท่านจะลุกขับถ่าย ทานยา และเริ่มมีน้ำหนักตัวมากขึ้น จากยาสเตียรอยด์ มันหายปวด แต่มันคงไปลดภูมิอะไรบางอย่างไม่ให้ฉลาดเร็วไปจนไม่รู้ว่าทำให้ตัวเองต้องลำบาก(หมายถึงระบบร่างกายเออเร่อประมาณนั้นแหละ). ผมเริ่มหงุดหงิด นอนไม่พอ ที่สำคัญเงินเก็บ เริ่มหมดลง หมดลง ผมคุยกับภรรยาว่าเราจะเตรียมตัวอย่างไร สุดท้ายตกลงกันเรื่องย้ายสถานพยาบาลไปภาครัฐ โดยขอคำปรึกษาร่วมกับแพทย์ ทั้ง4ท่าน ก็ตามนั้นครับ ผมต้องออกจากงาน เพื่อมีเวลาดูแลแม่และทำงานโดยอาศัยตัวเอง (กลายเป็นส่วนที่ดี ณ ปัจจุบันเราได้ฝึกเตรียมไว้ก่อนการแพร่ระบาดCOVID-19)คืนหนึ่งกลางดึก แม่มีอาการปวด ผมตัดสินใจเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน ครั้งแรกที่ไป ER ของรัฐ ได้เห็นได้ทำความเข้าใจ ความอดทนของทั้งผู้ป่วยและทีมแพทย์พยาบาล แรกๆก็นึกบ่นต่อว่าในใจอยู่เหมือนกัน เข้าออกๆห้องฉุกเฉินอยู่หลายครั้ง. กว่าจะเข้าใจ และทำใจได้ มีแพทย์และพยาบาลที่ดีมากอยู่จริงครับ. ตี2ตี3 บางคืนเดินไปเดินมาในโรงพยาบาลคนเดียว ไม่กลัวนะ เหมือนเป็นบ้านไปแล้ว ร้านเลขเจ็ดกะสิบเอ็ดนี่กินจนเป็นญาติกันไปแล้วเพราะมีที่เดียวที่เปิด คอยเข้าออกดู แม่ เห็นแก่หลับดี ได้เดินออก ในห้องฉุกเฉินมีผู้ป่วยสูงอายุมากมาย ล้นมือแพทย์ พยาบาล ใครช่วยผู้ป่วยของตัวเองได้ ก็ทำเองไปรอพยาบาลไม่ได้ ญาติอาจวิตกกังวลได้ แต่ต้องบอกกล่าวเจ้าหน้าที่ก่อน ถึงแม้คุณรู้ก็เหอะว่าอะไรอยู่ตรงไหน สุ่มสี่สุ่มห้า โดนคุณท่านตำหนิแน่. เพราะการหยิบของไปใช้ อาจมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโรคได้ ถามมากก็ไม่ได้นะ ต้องใช้ความขำนานแยกแยะอารมย์ให้ถูก แต่ถ้าเรารู้จังหวะดีๆทำใจร่มๆทุกอย่างจะผ่าน ด่านอรหันต์ ไม่ก็งอนกันไปข้างนึง แต่เดี๋ยวอยู่ไป ก็จะเข้าใจซึ่งกันและกันเอง หรือถ้าคุณเลือกได้มีค่าใช้จ่ายพอ ใช้รักษากับสถานพยาบาลพิเศษ คุณก็จะเป็นคุณท่านไปครับเมื่อคุณหมอประเมินว่ารวมๆว่าอาการดีขึ้น แม่กลับบ้านได้ ผมจะมีความสุขมาก ในช่วงที่แม่ป่วย ผมและแม่ สนิทกันมากผมมีโอกาสอาบน้ำ ชำระล้างท่านทุกอย่าง คอยวัดไข้และจดบันทึกความดัน อาการในแต่ละวัน เลือกอาหาร สด ปรุงสุก ดูมีความสุขขึ้นนะครับ แต่นั่นแหละความไม่แน่นอนของกายสังขาร แล้ววันนั้นก็ มาถึงครับ แม่เริ่มมีอาการจำไม่ได้ ถึงกับจำผมไม่ได้ วันนั้นผมกับแม่ไปวัดทำบุญ ผมรู้สึกแม่เหมือนจะปวดห้วไม่สบายตัว ผมรีบพาท่านกลับ ระหว่างทาง ท่านนั่งตอนหลังผมขับรถ แม่ หยิบหมอนมาตีหัวผม แล้วบอกให้จอดรถ ผมตกใจ แล้วจอดรถเข้าข้างทาง จอดเดี๋ยวนี้นะจะพาชั้นไปไหน..!!เออเดี๋ยวชั้นจะบอกลูกชาย แกพูดเสียงดังสนั่น ทีแรกผมนึกว่าท่านแกล้งขำๆ แต่ไม่ใช่ แม่เห็นผมเป็นคนอื่นขณะนั้นคงคิดว่า ผมลักตัวท่านมาจริงๆ แม่ แม่!! ดูผมดีๆ แม่ครับ แม่ น้ำตาไหล อาบ ผมเดินออกไปแล้ววนกลับมา เออ แม่จำได้แล้ว ผมเอนตัวท่านนอนลง เมื่อมาถึงบ้านผมอุ้มแม่มานอน คืนนั้นผมตัดสินใจไปER.อีกครั้ง พยาบาลห้องฉุกเฉินดูแลตามอาการ แต่ต้องรอจนเช้าเพื่อพบแพทย์เจ้าของไข้ เล่าอาการจำไม่ได้ชั่วขณะ ของแม่ให้แพทย์ทราบคุณหมอประเมินว่าเป็นอาการป่วยระยะสุดท้ายของโรคนี้ ที่น่าเป็นห่วงคืออาการระบบหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองมันบีบตัวเพิ่มมาอีกจุด ทำให้เกิดอาการอุดตันของเลือดภาวะนี้ทำให้ความทรงจำที่ผิดจากธรรมดา อาจเห็นภาพหลอน ตื่นตัวตระหนก สมองส่วนการรับรู้ของแม่ท่านเริ่มไม่ตอบสนอง ซ้ำร้าย มีอาการติดเชื้อเข้ากระแสเลือดมาแทรกซ้อน แม่เข้าห้อง icu.อีกครั้งเช้าวันนั้นวันที่ 9 มกราคม 2560ผมอยู่ข้างเตียงท่าน แพทย์แจ้งให้ทราบถึงอาการสุดท้ายแล้วไม่มีทางแล้ว ใช้เครื่องช่วยหายใจใช้เตรื่องและยา กระตุ้น ความดันตก สัญญาณชีพอ่อน ขณะนั้นผมไม่ทราบจะทำอย่างไร เหมือนเบลอๆน้ำตาไม่ไหล เฉยๆ ผมบีบมือแม่ไว้แน่น บอกแม่ว่า. แม่ครับผมขอโทษ ที่ดูแลท่านไม่ดี แม่เหนื่อยมามาก พักผ่อนไม่ต้องกังวลนะครับ แล้วเสียงเครื่องชีพจร ดังเสียงเรียบ แพทย์พยาบาลเข้ามา ให้ออกไปก่อน ผมเหมือไม่ได้ยินอะไร ........คุณแม่จากผมไปแล้ว ท่านไปพบคุณพ่อแล้ว.....วันนั้นมันมาซ้ำกับวันที่ผมเสียคุณพ่อไม่มีผิด.......ผมกลับบ้านแบบใจลอย บอกการไปของแม่กับครอบครัวและญาติ จัดธุระเรื่องวัด และอื่นๆในวันสุดท้ายที่หน้าเมรุผมก็ยังเฉยๆ ไม่คิดถึง ไม่กังวล ไม่อะไรเลย สัปดาห์นั้นผ่านไป ผมเริ่มคิดถึงท่านมากขึ้น น้ำตาไหลออกมาเองแต่ไม่รู้สึกอะไรภาพเก่าในสมองส่วนลึก ภาพผมกับแม่ยังพรั่งพรูอยู่รอบตัว เป็นฉากทุกจุดทุกมุมในบ้านเก็นเป็นเรื่องราวหมด ผม เรื่มมานอนข้างเตียงแม่เหมือนเดิม อยากให้แกมาให้เห็น เหมือนในหนัง ที่คนเค้าชอบเล่ากัน ไม่มี ไม่มา ไม่มีกลิ่น ไม่มีหืออืออะไรทั้งนั้น...!!! แกไปแล้วจริงๆหรือผมบอกตัวเองอย่างนั้น ก็ยังนอนข้างเตียงแม่อยู่ ลูกเมียคอยปลอบ แต่ผมไม่อยากไปเจอใคร ดูทีวี ฟังเพลงไม่ได้ ไม่ชอบขึ้นมาเฉยซะงั้น จนครอบครัวขอร้องให้ไปพบแพทย์ ผมก็เป็นห่วงพวกเค้านะลูกเมีย เกรงใจพวกเค้าก็เลยรับปากว่า จะโทรและไปปรึกษาที่โรงพยาบาลแห่งนึงที่ใช้สิทธิ ผมขับรถออกไปนะ ไปไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกที มาโรงพยาบาลที่แม่เข้ารับการรักษา เราก็ อ๋อ คงเคยชินสินะ นึกถึงตอนนี้ก็ขำตัวเอง แต่มันยังไม่จบ ที่จริงมันคือจุดเริ่มต้นของยาเม็ดแรก. !!และมีอะไรแปลกๆมี่น่ากลัวมาเล่าให้ฟังติดตามเรื่องราวประสบการณ์ตรง.และช่วยเป็นกำลังใจใน EP.2 ยาเม็ดสุดท้ายด้วยครับ ขอบคุณทุกท่านที่อ่าน.....ตาคำ