มาดูค่าเฉลี่ยน้ำตาลในเครื่องดื่มที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป ดูฉลากก่อนดื่มให้ดี ก่อนที่โรคเบาหวานจะเล่นงานตัวคุณ โรคเบาหวานมีอัตราพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย และโรคเบาหวานไม่ได้เป็นเพียงเฉพาะกลุ่มผู้สูงเอายุเท่านั้น เพราะข้อมูลล่าสุดพบว่าเด็กไทยที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 6 เท่า ใน รอบ 10 ปี และสถิติเด็กไทยอ้วนลงพุ่งเป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งที่น่าตกใจคือพบคนไทยกว่า 1.3 ล้านคน ป่วยเป็นเบาหวานแบบไม่รู้ตัว โดยสาเหตุอาจมาจากเครื่องดื่มที่มีวางขายในบ้านเรารสชาติหวานเข้มข้น อร่อยจนเกินพอดี งั้นลองมาดูกันดีกว่าว่าเครื่องดื่มที่มีในบ้านเรานั้น มีค่าเฉลี่ยน้ำตาลเท่าไรกันบ้าง (องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา) - ประเภทชาเขียวพร้อมดื่ม มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ยมากถึง 6-14 ช้อนชา ต่อ 1 ขวด (400-500ML) ซึ่งปริมาณน้ำตาลแตกต่างกันแล้วแต่ยี่ห้อและรสชาติ ( ไม่นับรวมชาเขียวสูตรไม่มีน้ำตาล ) - ประเภทน้ำอัดลมค่าเฉลี่ยน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 10 ช้อนชาต่อ 1 ขวดเล็ก (250-350ML). ประเภทน้ำผลไม้ มีค่าเฉลี่ยน้ำตาลอยู่ที่ 5 ช้อนชาต่อ 1 กล่อง (250-350ML) และบางยี่ห้อก็มือหนักมีน้ำตาลถึง 10 ช้อนชา-ประเภทเครื่องดื่มชูกำลัง มีค่าเฉลี่ยน้ำตาลอยู่ที่ 6-9 ช้อนชาต่อ 1 ขวด ( 150ML). ประเภทนม นมรสหวานหรือช็อคโกแลต มีค่าเฉลี่ยน้ำตาล 6-7 ช้อนชาต่อ 1 กล่อง ( 180-250ML )นมถั่วเหลือง มีน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 ช้อนชาต่อ 1 กล่อง( 250-350ML )นมเปรี้ยวมีตั้งแต่ 3 ช้อนชาไปจนถึง 16ช้อนชาต่อ 1 ขวด (400ML)-ประเภทเครื่องดื่มชงตามร้านกาแฟรถเข็นโบราณ กาแฟ ชาเย็น โกโก้ นมเย็น น้ำแดงโซดา เมนูยอดฺฮิตของร้านกาแฟโบราณ มีค่าเฉลี่ยน้ำตาลอยู่ที่ 8-12 ช้อนชา ต่อ 1แก้ว ( 250ML) เจ้าโรคเบาหวานเนี่ยเมื่อเป็นแล้วจะไม่ได้แสดงอาการแบบชัดเจน แต่มันจะค่อยๆทำให้อวัยวะทั่วร่างกายเสื่อมลง อย่าประมาทโรคเบาหวานเด็ดขาด โรคนี้ใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด และในปัจจุบันสถิติพบคนไทย 1 ใน 11 คน ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ทางที่ดีเราควรค่อยๆลดการทานหวานลง สังเกตฉลากโภชนาการให้ดี เลือกสั่งหวานน้อยหรือดื่มเป็นน้ำเปล่าแทนดีที่สุด ที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ เพื่อสร้างการเผาผลาญในร่างกายให้สมดุลกับสิ่งที่เราทานเข้าไป อย่าปล่อยให้ป่วยก่อนแล้วค่อยรักษา แต่ควรรักษาร่างกายก่อนที่เราป่วย (ข้อมูลสถิติจากสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย) ขอบคุณรูปภาพจาก รูปประกอบที่1 / รูปประกอบที่2 / รูปประกอบที่ 3