ด้วยช่วงเวลานี้ พิษโรคระบาดโควิด-19 กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง ถือเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่โลกของเราเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ที่ผ่านมาเราคุ้นเคยกับ วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์หรือที่คุ้นกันในชื่อวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤตหนี้สาธารณะยุโรป รวมทั้งวิกฤตการเงินเวเนซุเอลาที่เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ แต่เหตุการณ์สำคัญที่บทเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยไม่ค่อยบอกให้เรารู้ แต่มีความสำคัญในฐานะที่เป็นเหตุการณ์ฟองสบู่แตกครั้งแรกของโลก บทความนี้จึงขอพาย้อนไปยังเหตุการณ์ดังกล่าวที่เรียกว่า วิกฤตดอกทิวลิป (Tulip Mania)ขอพาผู้อ่านทุกท่านย้อนกลับไปยังทวีปยุโรปช่วงศตวรรษที่ 16 ดัตช์ ฮอลแลนด์ ฮอลันดา หรือเนเธอร์แลนด์ก็แล้วแต่จะเรียกขานกัน เวลานั้นดัตช์กำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด เรียกว่าเพิ่งฉลองเอกราชหลังจากอยู่ภายใต้การปกครองของสเปนมายาวนาน เมื่อได้รับเอกราชแล้วทั้งรัฐบาลและประชาชนก็ช่วยกันฟื้นฟูประเทศจนเฟื่องฟู ประเทศข้างเคียงอิจฉาตาร้อนกันไปตาม ๆ กัน เพราะยุคนั้นดัตช์กลายเป็นมหาอำนาจทางทะเล ออกเดินเรือแสวงหาอาณานิคมแถวบ้านเรา กวาดเมืองท่าสำคัญอย่างปัตตาเวียมาครอบครองได้อย่างง่ายดาย แถมเมืองหลวงอย่างกรุงอัมสเตอร์ดัมยังเป็นศูนย์กลางการเงินของยุโรป ตำราเศรษฐศาสตร์หลายเล่มยังยกให้ดัตช์เป็นประเทศระบอบทุนนิยมประเทศแรกของโลกด้วยซ้ำไป ผู้เขียนขอเรียกยุคนี้ว่า ยุคทองของดัตช์ ก็แล้วกันคราวนี้เมื่อประเทศรุ่งเรืองมาก ๆ มีหรือที่ประชาชนในประเทศจะไม่อู้ฟู่ตามไปด้วย ต่างคนต่างร่ำรวยซื้อที่ดินกันเป็นว่าเล่น แต่เงินทองมันเป็นของนอกกาย สิ่งที่ชาวดัตช์ยุคนั้นใช้เป็นเครื่องแสดงฐานะคือ ดอกทิวลิป (Tulip) เพราะสมัยก่อนดอกทิวลิปเป็นพืชหายาก มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบตะวันออกกลาง ในทวีปยุโรปไม่มีชาติไหนปลูกดอกทิวลิปกัน แต่สุลต่านแห่งตุรกีได้มอบให้ชนชั้นสูงในยุโรปก่อน แล้วเมื่อชนชั้นกลางเริ่มมีเงินทองก็ปลูกทิวลิปกันอย่างแพร่หลาย เรียกว่าบ้านไหนมีดอกทิวลิป แสดงว่าบ้านนั้นมีเงินไม่น้อย เริ่มมีคนขยายพันธุ์ดอกทิวลิปเป็นสีต่าง ๆ ทำให้ดอกทิวลิปมีค่าขึ้นมาอีก เรียกว่าดอกทิวลิปในยุคนั้นก็มีค่าเหมือนเพชรพลอยทองคำในสมัยนี้นั่นเองพอคนเริ่มปลูกทิวลิปกันอย่างแพร่หลาย เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ด้วยดอกทิวลิปจะเบ่งบานเพียง 3 เดือนคือ เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม พอกลีบดอกเริ่มเหี่ยวโรยรา ก็จะกลายเป็น หัวทิวลิป (Tulip Bulb) ที่สามารถนำไปเพาะปลูกขยายพันธุ์ได้ หัวทิวลิปนี่เองที่เป็นเพชรเม็ดงามของชาวดัตช์ ผลผลิตชิ้นนี้เป็นที่ต้องการไม่ต่างกับสินค้าลดราคาสมัยนี้ที่แห่แหนกันไปกวาดต้อนตามห้างสรรพสินค้า แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า หัวทิวลิปจะออกมาในเดือนกันยายนเพียงเดือนเดียว แต่คนที่รอจะช่วงชิงมาจ่ออยู่ตลอดปีตลอดชาติ นำมาสู่การแก้ปัญหา ใครอยากได้หัวทิวลิปก็ต้องมาทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากัน จองไว้ปีนี้ค่อยมาเอาผลผลิตอีกทีปีหน้าอะไรทำนองนั้นชาวดัตช์ที่มาจองหัวทิวลิปไม่ได้ซื้อไปปลูก แต่ซื้อไปเก็งกำไร สมมติว่าปีที่ผ่านมาทำสัญญาจองหัวทิวลิปไปในราคาหลักสิบ ปีต่อมาพอได้สินค้ามาแล้ว ราคาหัวทิวลิปก็พุ่งขึ้นเป็นหลักร้อย พ่อค้าก็ได้กำไรมหาศาล ถ้าตามบันทึกที่ผู้เขียนอ่านมาได้บอกไว้ว่า ราคาหัวดอกทิวลิปพุ่งขึ้นจาก 25 กิลเดอร์ ไปถึง 200 กิลเดอร์ในเวลาเพียง 3 ปี (ปัจจุบัน 1 กิลเดอร์มีค่าประมาณ 17 บาท) ซึ่งราคาหัวทิวลิปที่พุ่งขึ้นสูงขนาดนี้ก็ยิ่งทำให้มีคนทำสัญญาจองสินค้าล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก บางคนขายที่ดินมาเพื่อกวาดต้อนจองหัวทิวลิปก็ยังมี แล้วก็เป็นไปตามสูตร ฟองสบู่ที่กำลังลอยอยู่ในอากาศอย่างสง่างามก็แตกดังโพละ เพราะอยู่ดี ๆ ราคาหัวทิวลิปในท้องตลาดก็ลดฮวบอย่างน่าใจหายจากหัวดอกทิวลิปราคา 200 กิลเดอร์ ปลายปี 1637 ราคาดิ่งลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียง 0.1 กิลเดอร์ กลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ของดัตช์ ยุคทองที่ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างอู้ฟู่ได้จบลง ดอกทิวลิปยังคงเบ่งบานแต่กลับไร้ประโยชน์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้ากลายเป็นกระดาษเปล่าที่ไร้ค่า คนที่ขายที่ดินหรือกู้หนี้ยืมสินมาเก็งกำไรหัวทิวลิปก็พบกับหายนะ ต้องกลายเป็นคนยากจนแร้นแค้น วิกฤตฟองสบู่แตกครั้งนั้นกลายเป็นบทเรียนให้กับชาติอื่น ๆ ในทวีปยุโรปและทั่วโลก ทุกวันนี้ทุ่งดอกทิวลิปกลายเป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งเรียนรู้ให้ชาวดัตช์ย้อนมองถึงเหตุการณ์วิกฤตดอกทิวลิป เป็นบทเรียนสอนใจเรื่องความโลภได้ตลอดชีวิตรูปภาพหน้าปก โดย Joshua Hoehne : Unsplashภาพประกอบที่ 1 โดย MrsBrown : Pixabayภาพประกอบที่ 2 โดย Anh Tran : Unsplashภาพประกอบที่ 3 โดย Judy Doherty : Unsplashภาพประกอบที่ 4 โดย McRonny : Pixabayภาพประกอบที่ 5 โดย MyTripFlops : Unsplash