เมื่อเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์จบลง ทุกชาติมักจะสร้างอนุสาวรีย์ อนุสรณ์สถาน หรือการบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นผ่านงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ ทุกความรู้สึกจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต ความสุข ความโศกเศร้าหรือยินดีปรีดา ได้รับการถ่ายทอดผ่านวัตถุเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับคนรุ่นหลังต่อมา บทความนี้จะพาไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านอนุสรณ์แห่งความสูญเสียของชาวฮังกาเรียน ที่ซึ่งชาวยิวหลายชีวิตได้พบกับจุดจบจากการเหยียดเชื้อชาติ แต่อนุสรณ์แห่งนี้กลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้เราได้อย่างไร เรียนรู้ไปด้วยกันในเรื่องราวที่จะเล่าดังต่อไปนี้เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกคนรู้ดีว่าเป็นการต่อสู้ระหว่าง ฝ่ายสัมพันธมิตร กับ ฝ่ายอักษะ ขณะนั้นเองฮังการีได้เข้าร่วมกับนาซีเยอรมัน ภายใต้การกำกับของ The Arrow Cross ซึ่งดำเนินนโยบายตามแนวทางของนาซีเยอรมันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หนึ่งในเหตุการณ์โหดร้ายครั้งสำคัญของนาซีเยอรมันคือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (The Holocaust)นาซีสร้างค่ายกักกันเอาไว้กักขังและใช้แรงงานพวกนักโทษฝ่ายสัมพันธมิตร เกณฑ์ผู้หญิงมาเป็นโสเภณีเพื่อใช้เป็นรางวัลให้กับนักโทษที่ทำงานดีเด่น ฮังการีในฐานะพันธมิตรคนสำคัญของนาซีเยอรมันก็เอากับเขาด้วย ผู้นำ The Arrow Cross สนับสนุนนโยบายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว โดยเกณฑ์พลเมืองชาวฮังกาเรียนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวยิวหลายชีวิต เตรียมส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิตช์ เพื่อเข้าสู่กระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวครั้งใหญ่ตามแผนการที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าแต่ช่วงเวลานั้นนาซีเยอรมันผู้นำฝ่ายอักษะ กำลังจะพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ายกักกันกลายเป็นอาคารไร้ประโยชน์เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองเอาไว้ได้ นักโทษในค่ายถูกปลดปล่อยให้พบกับอิสระ ชะตากรรมของชาวฮังกาเรียนเชื้อสายยิวจึงระหกระเหิน ส่งไปค่ายกักกันก็ไม่ได้ จะปล่อยให้เป็นอิสระก็ไม่ได้ ทางออกที่ฮังการีทำคือจับพวกเขามาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยน้ำมือของคนในชาติตัวเองปลายปี 1944 ซึ่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จวนจะจบลงเต็มแก่ แต่ฮังการียังหวังถึงชัยชนะที่ดูเลือนราง และหวังจะแสดงพลังอำนาจผ่านการล้างเผ่าพันธุ์ โหมกระแสให้ฝ่ายสัมพันธมิตรหวาดกลัวการกระทำอันป่าเถื่อน ฮังการีจับนักโทษชาวยิวมายืนเรียงแถวอยู่ริมฝั่งแม่น้ำดานูบ สั่งให้คนเหล่านั้นปลดเปลื้องเสื้อผ้าและรองเท้าออก เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีราคาสูง เรียกว่าเครื่องนุ่งห่มมีค่ามากกว่าชีวิตนักโทษฮังกาเรียนด้วยซ้ำ เมื่อทหารลั่นกระสุนพุ่งไปเจาะจุดตายของนักโทษที่ยืนเรียงแถวด้วยความสิ้นหวัง ร่างไร้วิญญาณดิ่งลงสู่แม่น้ำดานูบที่กำลังกลายเป็นน้ำแข็งจากอากาศที่หนาวเย็น ทิ้งไว้เพียงซากรองเท้าและเครื่องนุ่งห่มชิ้นสุดท้ายก่อนลาจากโลกนี้ไป พร้อมกับเสียงโห่ร้องดีใจของประชาชนเลือดฮังการีที่ถูกฝังหัวเรื่องการเหยียดเชื้อชาติอีกหลายหมื่นชีวิตปี 1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงพร้อมความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ กรรมตามสนองแบบไม่ทันรู้ตัว นาซีเยอรมันต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลพร้อมถูกตีตราว่าเป็นผู้แพ้ในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล สหภาพโซเวียตยึดฮังการีและปกครองภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ ทหารและประชาชนที่มีส่วนร่วมในการก่อเหตุสังหารหมู่ถูกจับขังคุก ขึ้นศาลดำเนินคดี มีหลายรายที่พยายามหลบหนีแต่ถูกยิงทิ้งไปเป็นจำนวนมาก จากนั้นจึงได้มีการสร้างประติมากรรมรูปรองเท้าขึ้นริมฝั่งแม่น้ำดานูบ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความสูญเสียที่จะคอยเตือนใจให้คนทั่วโลกตระหนักถึงเหตุการณ์โหดร้ายในอดีต และเป็นบทเรียนที่จะคอยสอนชาวฮังการีถึงความไม่ถูกต้องในการเหยียดเชื้อชาติของเพื่อนมนุษย์แม้วันนี้ฮังการีจะปลดแอกจากการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มาได้แล้ว ชาวฮังกาเรียนยังคงต้องเรียนรู้ถึงการเข่นฆ่ากันเองของคนในอดีต ความจริงแล้วก็เป็นบาดแผลในใจของทุกคนบนโลก เพราะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้วในหน้าประวัติศาสตร์ อนุสรณ์รองเท้าริมแม่น้ำดานูบที่ยาวกว่า 400 เมตร จึงเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญที่ทำให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงความสูญเสียไปตลอดกาลเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Mika : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 1 โดย WikiImages : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 2 โดย JordanHoliday : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 3 โดย Pauline_17 : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 4 โดย Moshehar : PIXABAYข้อมูลอ้างอิง- หนังสือเรื่อง Shoes Along the Danube : Based on a true story - T. Zane Reeves PhD