If you believe in Santa-Claus for 7 years. You can believe in yourself for 90 minutes! ช่างเป็นคำกล่าวที่น่าประทับใจจริง ๆ เลยใช่มั้ยหล่ะคะ โดยเฉพาะกับแฟนพันธ์ุแท้ฟุตบอลในลีกดังระดับโลก จนต้องแอบฮัมเป็นเพลงนี้ “ก็คนมันรัก จะทำยังไงก็รัก จะเจ็บยังไงก็รัก” แต่หยุดก่อนค่ะ! เพราะนาทีนี้ ต่อให้เราจะรักและคิดถึงนักเตะในดวงใจมากขนาดไหน ก็เป็นอันต้องพักความคิดถึงนั้นไว้ก่อนค่ะ ด้วยเหตุผลที่ใคร ๆ ก็ทราบดีว่า มันคือสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยส่งผลกระทบไปเป็นวงกว้าง ไม่เว้นแม้แต่วงการกีฬาฟุตบอลทั้งไทยและเทศ โดยพรีเมียร์ลีก ได้ทำการงดการแข่งขันมาสักระยะหนึ่งแล้วนะคะ ก็เลยอาจทำให้แฟน ๆ กีฬาฟุตบอลมีความรู้สึกเหงาหงอยกันไปบ้าง แต่ในข่าวร้ายก็มีข่าวดีแทรกอยู่ค่ะ โดยมีข่าวแว่ว ๆ มาว่า อาจจะมีการแข่งขันในแมทช์ที่เหลืออยู่ในเวลาอันใกล้นี้ หรือไม่ก็อาจจะยกเลิกฤดูกาลนี้ไปเลยก็เป็นได้ หากยังมีหลาย ๆ ทีม ที่มีการคัดค้านที่จะไม่ยอมแข่งใน "สนามเป็นกลาง" (สนามฟุตบอลส่วนกลาง) เพราะยังคงมีความต้องการให้แข่งขันในระบบเหย้า-เยือนอยู่เช่นเดิม แต่ไม่ว่าจะมีมติสรุปอย่างไรในอนาคต สิ่งหนึ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นั่นก็คือ “New Normal หรือชีวิตวิถีใหม่” ตามกฎที่ทางพรีเมียร์ลีกจะประกาศใช้เพิ่มเติมในอนาคต หรือที่ประกาศออกมาแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ก็ตาม ดังนั้น ก็ลองมาดูกันเลยนะคะ ว่ากฎเหล่านั้นจะมีอะไรกันบ้าง มาดูไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ 3 กฎเหล็ก New Normal (1) ห้ามแลก ห้ามแลกเสื้อระหว่างนักเตะด้วยกัน รวมไปถึงการโยนเสื้อไปให้แฟนบอลได้เก็บเป็นที่ระลึก ภาพการถอดเสื้อโชว์กล้ามเป็นมัด ๆ เพื่อนำไปแลกกับเพื่อนนักเตะต่างทีม ที่เรามักจะเห็นเป็นภาพคุ้นตากันนั้น จากนี้ไปอย่างน้อย 1 ปีหรือจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ก็อาจจะไม่มีภาพนี้ให้เห็นไปซักพักนะคะ เนื่องด้วยการป้องกันตัวเองและผู้อื่น จากการติดเชื้อผ่านทางสารคัดหลั่งต่าง ๆ เช่น เหงื่อ น้ำลาย และน้ำมูก นั่นเองค่ะ (2) ห้ามแชร์ ห้ามแชร์แบ่งปันขวดน้ำดื่ม ระหว่างนักเตะด้วยกันเป็นอันขาด อันนี้ก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับมาตรการที่ใช้กันทั่วโลกในขณะนี้ นั่นคือการไม่ใช้ภาชนะหรือการทานอาหารร่วมกันกับผู้อื่น โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่ใช่คนในครอบครัว ซึ่งโดยปกตินักเตะในสนามนั้น มักจะแสดงความมีน้ำใจด้วยการแบ่งปันน้ำดื่มให้เพื่อนนักเตะอยู่เสมอ แต่จากนี้ไป ก็คงต้องเปลี่ยนใหม่และนำ New Normal เรื่องแก้วใครแก้วมัน มาปรับใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ในสนามไปด้วยเลย (3) ห้ามเกาะ ห้ามให้นักเตะทุกคน แสดงความยินดีในเวลาที่ยิงประตูเข้า ด้วยการกอดคอกระโดดเกาะกันเป็นอันขาด! แหม ความรู้สึกอยากจะกรี๊ดดัง ๆ ตอนที่ทีมรักทำประตูได้ มันช่างน่ายินดีซะเหลือเกินจริงมั้ยคะ และแน่นอนค่ะว่าแฟนบอลอย่างเรา ๆ ที่รับชมการแข่งขันอยู่ทางบ้าน ก็ยังสามารถทำได้เป็นปกติ แต่สำหรับพี่ ๆ นักเตะที่แข่งขันในสนามนั้น ก็คงต้องงดการแสดงความดีใจด้วยการวิ่งไปกอดกัน แล้วกระโดดทับกัน หรือ ไม่เว้นแม้แต่การอุ้มเพื่อนที่เป็นคนทำประตูได้ แล้วโยนต่อ ๆ กันไปเพื่อทำเพลย์เวฟนั้น ต่อไปในแมทช์อนาคตอันใกล้นี้ ก็ไม่สามารถทำได้แล้วนะเจ้าคะ เนื่องจากกฎของการอยู่ห่างกันให้มากที่สุด และใกล้ชิดกันเมื่อจำเป็นเท่านั้นนั่นเองค่ะ ก็คงต้องปรับเปลี่ยนไปใช้เป็นการปรบมือ หรือการเต้นคนเดียวอย่างเหงา ๆ และห่าง ๆ กันไปก่อนจ้า! ส่วนในการปฏิบัติตัว ในกฎข้ออื่น ๆ นั้น ก็มีการตั้งข้อสังเกตและคาดเดากันว่า อาจมีเพิ่มเติมในกฎข้ออื่น ๆ ตามมาอีกในอนาคต เนื่องจากในอีกหลายวิถีเดิมนั้น ยังไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับ Social Distancing ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ออกกฎไว้ อันได้แก่ การเดินจูงมือเด็ก ๆ ในระหว่างเปิดตัวนักเตะในสนาม ตามธรรมเนียมปฏิบัติ การจับมือกับเพื่อนนักเตะฝ่ายตรงข้ามก่อนเริ่มเกมส์การแข่งขัน การรับผ้าเช็ดหน้าจากผู้ช่วยโค้ชในสนาม การประชุมทีมในระหว่างการขอเวลานอก รวมไปถึงการจัดการเว้นระยะห่างของที่นั่งแฟนบอลที่มาชมการแข่งขันด้วย ซึ่งเชื่อมั่นว่า ทางพรีเมียร์ลีกจะสามารถจัดการในเรื่องเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีแน่นอน เพื่อเป็นการป้องกันให้ทุกคนปลอดภัยจากโรคโควิด-19 ค่ะ สุดท้ายนี้ ทางผู้เขียนก็ขอเป็นกำลังใจให้ทั้งทางคณะกรรมการพรีเมียร์ลีก นักเตะ และแฟนบอลทุก ๆ ท่าน ที่อาจจะกำลังใจจดใจจ่อกับการลุ้นให้เปิดสนามได้ในเร็ววัน ทั้งนี้ทั้งนั้น เราทุกคนก็ต้องไม่ประมาทในการเว้นระยะห่างทางสังคม เช่นเดียวกันกับทางนักเตะ ที่ต้องปฏิบัติตามกฎเหล็กที่ทางพรีเมียร์ลีก ได้ออกประกาศไปเบื้องต้นเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้อย่างเคร่งครัด และสำหรับวันนี้ก็ต้องขอลากันไปก่อน และลากันไปด้วยคำว่า “You will never walk alone” และใช่ค่ะ! ถึงจะไม่โดดเดี่ยว แต่คงต้องห่างกันสักพักนะคะ! สวัสดีค่า ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Pixabay /ภาพปก / ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3