Marriage Story เป็นหนังในเน็ตฟลิกซ์ แต่ก่อนหน้านั้นเคยฉายรอบปฐมทัศน์ ณ งานเทศกาลภาพยนตร์เวนิสมาก่อน ตามด้วยเข้าโรงภาพยนตร์ทั่วไปแบบจำกัดรอบนักแสดงนำคือ สกาเล็ตต์ โจแฮนสัน คู่กับ อดัม ไดร์ฟเวอร์ (คนที่รับบทนำใน Star Wars ภาคหลัง ๆ หลายภาคด้วยกัน) ฟังชื่อเรื่องแล้วนึกว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตแต่งงาน แต่พอมาดูกลายเป็นเรื่องการหย่าไปซะงั้น นี่เป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่ง คือ ชาร์ลี กับ นิโคล ที่แต่งงานกันมานานและมีลูกด้วยกันแล้ว 1 คน (ซึ่งยังเด็กอยู่)ชาร์ลีนั้นเป็นผู้กำกับละครเวที ส่วนนิโคลเป็นอดีตดาราหนังวัยรุ่นที่ปัจจุบันผันตัวมาเล่นเป็นนางเอกให้กับละครเวทีที่ชาร์ลีผู้เป็นสามีกำกับ เรื่องเริ่มต้นมาในจุดที่ทั้งคู่มีปัญหากันหนักหนามาก และกำลังเตรียมที่จะหย่ากันหนังเริ่มเรื่องด้วยการแสดงภาพคู่สามีภรรยาที่อยู่กันมานานจนรู้นิสัยของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีและประนีประนอมกันได้แทบจะทุกเรื่อง (แต่ด้วยสีหน้าที่ดูซังกะตายมาก) ไปสู่จุดที่ความเก็บกดตลอดช่วงหลายปีค่อยๆระเบิดออกมา และอะไรๆก็เริ่มเละเทะเร็วมากเมื่อฝ่ายหนึ่งได้ดึงทนายเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งที่ตอนแรกคุยกันไว้ว่าจะตกลงเงื่อนไขการหย่ากันเองตลอดกระบวนการหย่าที่ต่างฝ่ายต่างจ้างทนายมาทะเลาะกันให้แทน ความเก็บกดของทั้งสองฝ่ายก็ค่อยๆระเบิดออกมาเป็นลูกใหญ่ๆหลายระลอก ถึงจุดหนึ่งมีการบอกว่ารู้มั้ย ไออยากให้ยูตายๆไปซะตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ติดเรื่องลูกนะ อยากให้ป่วยซะหรือไม่ก็โดนรถชนตายไปเลย พูดจบก็ทรุดลงร้องไห้ อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาตบไหล่ปลอบใจซะงั้น ถ้าใครคาดหวังจากชื่อเรื่องว่าจะได้ดูเรื่องราวความรักโรแมนติก รับรองคุณจะต้องเผลออุทานออกมาว่า “อะไรกัน_ะ!” เป็นระยะๆเลยทีเดียว จุดน่าสังเกตของหนังเรื่องนี้คือวัฒนธรรมการหย่าของฝรั่งกับคนเอเชียไม่เหมือนกัน ฝรั่งมักจะต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแย่งสิทธิ์ในการเลี้ยงลูก แต่อย่างคนไทยเนี่ยส่วนใหญ่จะต่อสู้กันเพื่อเกี่ยงไม่ยอมเลี้ยงมากกว่า ประมาณว่าอยากโยนภาระให้อีกฝ่าย ทนายในเรื่องได้พูดอะไรอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือบอกว่า “จากประสบการณ์ผม คนส่วนมากต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเวลาที่จะอยู่กับลูกเยอะๆ แต่พอได้มาจริงๆก็ไม่เห็นจะสนใจลูกเท่าไหร่ จริงๆก็แค่อยากจะเอาชนะอีกฝ่ายเท่านั้น”ใครเป็นแฟนสการ์เลตต์ โจแฮนสัน เรื่องนี้จะได้ดูเธอแสดงในบทบาทดราม่าล้วนๆ ไม่มีพลังพิเศษหรือความสามารถอะไรอย่างในหนัง Marvel ซึ่งจริงๆคิดว่าถ้าจะดูแนวนี้ สการ์เลตต์ในเรื่อง Lost in Translation น่ารักและมีเสน่ห์กว่าเยอะ แต่อย่างว่า เรื่อง Marriage Story นี่จะเน้นไปทางเรียลและอมทุกข์ ก็ถือว่าได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเธอละกัน ส่วนอดัม ไดรฟ์เวอร์ นี่มีฉากที่ประทับใจมากๆอยู่ฉากหนึ่ง คือตอนที่พี่เค้าร้องเพลง Being Alive จำได้ว่าดูจบปุ๊บต้องย้อนกลับไปฟังพี่เค้าร้องเพลงนี้ใหม่หลายรอบ จังหวะที่ร้องเพลงนี้เป็นช่วงที่การหย่ากำลังจะเสร็จสิ้น พระเอกบ่นกับเพื่อนว่าขนาดโซฟาตัวโปรดก็โดนยึดไปทั้งที่เมียก็ไม่ได้ชอบอะไรมันมากมายด้วยซ้ำ แล้วนักเปียโนในผับก็เล่นอินโทรเพลง Being Alive จากละครเพลงเรื่อง Company ตอนแรกพระเอกลุกขึ้นมาร้องเล่นๆไม่กี่ท่อน แต่พอกำลังจะกลับไปนั่งที่จู่ ๆ ก็ลุกไปร้องต่อจนจบเพลง เพลงนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก กล่าวถึงใครบางคนที่กอดคุณแน่นเกินไป รู้จักคุณดีเกินไป ชอบขโมยเก้าอี้ตัวโปรดของคุณนั่ง ทำคุณอดนอน แต่กลับทำให้รู้สึกถึงการมีชีวิต คนที่ทำให้คุณคิดว่าตัวเองบกพร่อง ทำให้คุณเหมือนตกนรก แต่กลับทำให้รู้สึกถึงการมีชีวิต สิ่งที่สะกิดใจให้ดูฉากนี้หลายรอบ อย่างแรกปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะเสียงร้อง พระเอกร้องเพลงนี้ได้เพราะมากจริงๆ อย่างที่สองเป็นสีหน้าและแววตา ตอนร้องดูเข้าถึงอารมณ์สุดๆ สามารถรับรู้ได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยหนักอึ้งของชีวิตแต่งงาน รู้สึกได้ถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องเสียสละเพื่ออีกฝ่าย แต่ในขณะเดียวกันจะให้ตัดใจเดินจากไปสู่ชีวิตที่เป็นอิสระก็กลับทำไม่ได้ง่ายๆเหมือนที่คิดไว้ สุดท้ายคือความยาวของเพลง อันนี้ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉากร้องเพลงฉากนี้ยาวนานมาก เหมือนชีวิตแต่งงานที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน แต่กลับทำใจยอมให้มันจบลงไม่ได้หนังเรื่อง Marriage Story นี่คนทั่วไปดูอาจจะไม่สนุกก็ได้นะ เผลอๆจะถึงขั้นน่าเบื่อเลย ก็แค่คนสองคนที่กำลังจะหย่ากันมาทะเลาะกันให้ดู ขุดเรื่องเก่าๆมาฉะกันตลอดเวลา แต่ใครที่แต่งงานมานานและเคยได้สัมผัสถึงภาวะที่เรียกว่า Seven years itch มาแล้ว ดูเรื่องนี้คงจะรู้สึกจึ้กๆในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว ถ้าได้คุยกับผู้กำกับอยากบอกว่า พี่ครับ ช่วยเปลี่ยนชื่อหน่อยเถอะ จาก Marriage Story เป็น Divorce Story ดีกว่า แต่นั่นล่ะ ไม่แน่นี่อาจจะเป็นความขัดแย้งและเรื่องเซอร์ไพรส์เกี่ยวกับชีวิตแต่งงานที่คนทำอยากจะถ่ายทอดแก่ผู้ชมก็เป็นได้