ในขณะที่สิงคโปร์มี Laneway / ฮ่องกงมี Clockenflap / มาเลเซียมี Good Vibes / อินโดนีเซียมี WE THE FEST แล้วประเทศไทยละ ?นี่คือคำถามของกลุ่มคนที่เสพย์ดนตรีทางเลือกแบบเรา ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่หรือรุ่นเล็ก ต่างก็รอคอยวันนี้กันแทบทั้งสิ้น และแล้วในที่สุดวันนี้ก็มาถึงวันที่ประเทศของเรามีเทศกาลดนตรี(อินดี้)นานาชาติกับเขาสักที !โดยในครั้งนี้ถือว่าเป็นการจับมือเพื่อรวมพลังกันถึงสามโปรโมเตอร์ใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งได้แก่ Have You Heard? , Seen Scene Space และ Fungjai ที่เหล่าคนฟังเพลงต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งแต่ละโปรโมเตอร์ก็มี Event เป็นของตัวเองและต่างมีจุดแข็งในแต่ละด้าน (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)ซึ่งในงานจะมีทั้งหมด 19 วงในหนึ่งวัน เล่นกันยาว ๆ ตั้งแต่บ่ายสองโมงยันเที่ยงคืน มีให้เลือกฟังกันแทบทุกแนว ทั้งวงดนตรีในตำนานที่หลายคนใฝ่ฝันว่าอยากจะดูซักครั้งในชีวิต วงที่มาไทยแล้วสองครั้ง ครั้งนี้จะมาเล่นเป็นครั้งที่สาม หรือแม้กระทั่งวงดนตรีหน้าใหม่ไฟแรงที่น่าจับตามองทางผู้จัดก็ได้เอามาให้เลือกชมกัน (หนึ่งในไลนอัพนี้ได้สร้างความประทับใจให้เราแบบมากถึงมากที่สุด และคิดว่าทุกคนในงานที่ได้ดูโชว์นี้ก็คงจะไม่ลืมง่าย ๆ เช่นกัน)วันเสาร์ช่วงสาย ๆ ค่อนไปทางบ่าย เราตื่นด้วยอาการแฮงค์เล็กน้อย อาจเป็นเพราะเมื่อคืนสังสรรค์กับเพื่อนหนักไปหน่อย หันไปดูเวลาก็เที่ยงนิด ๆ แล้ว แต่สภาพอากาศกลับดูไม่เหมือนเที่ยงเลย ฟ้ามืด ฝนตกหนัก เรารีบหยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าฟีดของเราว่าสถานที่จัดการเป็นยังไงบ้าง เพื่อนที่นัดเจอกันติดฝนรึเปล่า ก็สรุปความได้ว่าตกจ้า แถมยังหนักด้วย ก็ได้แต่ภาวนาว่าฝนจะหยุดตกก่อนงานเริ่มนะ เพราะวงแรกที่เราอยากดูคือ Solitude is Bliss ซึ่งเล่นตอน 14.00 เรารีบอาบน้ำจัดเตรียมของให้เรียบร้อย แล้วนั่ง Taxi ไปลงถึงหน้างาน แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้!เพราะว่าลืมมือถือไว้บนแท้กซี่จ้า รีบวิ่งเข้างานเพื่อไปขอยืมมือถือใครก็ไม่รู้โทรเข้ามือถือเรา เรียบร้อยฮะ ปิดเครื่องหนีไปแล้วจ้า ความรู้สึกตอนนั้นคือพังมาก เศร้า อยากกลับบ้านชิบ ทุกอย่างอยู่ในเครื่องหมดเลย รวมถึง QR Code ด้วย แต่ทันใดนั้น พระเจ้าก็ส่องแสงลงมาในคราบของรุ่นน้องที่เรารู้จักพอดี (กราบขอบคุณน้องรัว ๆ) (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)ผลสรุปคือวันนั้นเราก็ต้องเกาะติดน้องทั้งวันทั้งคืน ซึ่งตอนนั้น Solitude is Bliss ได้ทำการแสดงไปแล้ว ก็แอบได้ยินเสียงมาจนถึงหน้างาน พอจัดการกับความรู้สึกตัวเองได้แล้ว ก็เข้างานไปดู Miami Horror ต่อ ซึ่ง Horror มาก อากาศเนี่ย ร้อนสุด ๆ ไปเลยจ้า แต่ทางวงก็ทำการแสดงได้ดีมาก แถมยังชวนให้คนดูเต้นตลอด น่ารักมาก เพลงแรกที่เล่นคือ American Dream ต่อด้วย I look to you และ Real Slow ตามลำดับ (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)ที่พีคคือ นักร้องนำปีนขึ้นไปบนหลังคาของ Sound Control แล้วจ้า มันส์มาก ๆ พร้อมกับเล่นเพลงฮิตอย่าง Stranger , Sometimes รวมไปถึง Holidays ระหว่างโชว์ เราก็ทนความร้อนไม่ไหว แอบสลับไปดูอีกเวทีนึงเพราะมันร่มกว่า มีหลังคาบังแดด ก็ไปเจอกับ Elephant Gym ที่เป็นวง Math Rock จากไต้หวัน บอกเลยว่า โคตรเท่ มันส์มาก นักร้องเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ สะพายเบส ที่ตบเบสกระจุย พร้อมกับบอกตลอดโชว์ว่า “We’re from Taiwan. We’re very very poor if you like us please support us. Thank you” (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)พอโชว์จบ ก็ถึงคราวของ Sunflower Bean ที่เป็นแนว Indie-Rock สุดเท่ ต้องบอกเลยว่าฟัง live กับ audio โคตรต่างกัน สนุกมาก ๆ สมาชิกในวงทั้งสามคนเต็มที่มาก ๆ ใส่ไม่ยั้งเลยทีเดียว (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)หลังจากนั้นก็ถึงคิวของนักร้องหนุ่มเกาหลีชื่อดังที่แฟนคลับตั้งหน้าตั้งตาไปรอกันหน้าเวทีแล้ว DEAN นั่นเอง (ก่อนหน้านั้นก็เป็นคิวของ Rad Museum ที่ทำการอุ่นเครื่องกันก่อนด้วย R&B เท่ ๆ) ซึ่งนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขามาโชว์ในเมืองไทย instagram , love , D รวมไปถึงเพลงฮิตทั้งหลายถูกขนมาเล่นหมดในงานนี้ ทำเอาแฟน ๆ ฟินกันเป็นแถบ รวมถึงเราด้วยเช่นกัน (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)ถึงวงที่เรารอคอย Oddisee ยอมรับว่ารู้จักเขาน้อยมาก เพราะเคยดูแค่โชว์ของ COLORS กับทำการบ้านโดยหาฟังใน Spotify แค่นั้นเองจริง ๆ แต่พอถึงหน้างาน โอ้โห พ่อคุณเอ้ยยยยย เอาที่หนึ่งไปเลยลูก มันสุดยอดมาก ๆ ดี มันส์ สนุกจนไม่รู้จะหาคำบรรยายมาพูดยังไง เต้นจนเข่าแทบเสื่อม นี่คือหนึ่งในโชว์ที่ดีที่สุดในงานจริง ๆ (รวมถึงในชีวิตด้วยนะ) สะกดทุกสายตาให้ไม่อยากไปดูโชว์อื่นต่อเลยอะ พึ่งเข้าใจคำว่า Magic Moment ก็วันนี้แหละ มันมีจริง ๆ นะเออ และแน่นอนหลังโชว์ของ Oddisee จบ เราก็ไปหาไรกินกัน แล้วก็ทำการอุ่นเครื่องเผาหัวกันก่อนอีกรอบ ก่อนวงที่เราอยากดูที่สุด Slowdive จะขึ้นเล่นในงาน (เสียดายที่ไม่ได้ดู Washed Out เพราะเอาเวลาไปทานข้าวและเติมเครื่องดื่มกันก่อน เศร้า)Slowdive เป็นอีกหนึ่งวงที่เราอยากดูที่สุดในชีวิต ถึงแม้จะไม่ได้โตมากับเพลงของพี่แกในยุคนั้น (เพราะเราเกิด 1997) แต่ก็ยอมรับว่าเพลงของลุงกับป้าส่งอิทธิพลการฟังเพลงมาให้ผมจนถึงตอนนี้ และตอนนี้พวกเขาก็อยู่ตรงหน้าเราแล้ว และเพลงแรกที่พวกเขาเล่นคือ Slomo !! โอย แทบบ้า ต่อเนื่องด้วย Catch the breeze , Crazy for you แล้วจึงเป็น Star Roving จากอัลบั้มล่าสุดที่เราโคตรชอบ การได้ฟังเพลงนี้สด ๆ คือนิพพานอย่างแท้จริง ต่อด้วยเพลงที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีกับ Souvlaki Space Station ที่สะกดทุกคนอย่างอยู่หมัด โยกหัว โยกร่างกายกันอย่างเบา ๆ จากนั้นเป็นคิวของ No Longer Making Time และ Alison ที่ถูกเล่นเป็นลำดับต่อมา! เรียกได้ว่างานนี้ถูกใจสายดิ่ง สายลอย สาย Shoegaze กันถ้วนหน้า (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)ซึ่งทันทีที่ Alison ขึ้นเนี่ย ทุกคนในงานต่อให้รู้จักหรือไม่รู้จักวงนี้มาก่อน ก็สามารถกลายเป็นแฟนของพวกเขาได้ทันที มันนัวมาก มีความฟุ้งอยู่ในนั้น ผสมกับฤทธิ์ของน้ำดื่มที่มีส่วนผสมของมอลต์นะ เสร็จเรียบกันทุกคน ต่อด้วยเพลง Sugar for the Pills จากอัลบั้มล่าสุดอีกครั้ง และเพลงที่ทุกคนรอคอยแน่นอนอย่าง When The Sun Hits ก็ถึงคราบรรเลง (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)แต่โชว์ยังไม่จบแค่นั้น เพราะพวกเขาเล่นเพลงที่เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ฟังในงาน นั่นคือ Golden Hair ซึ่งต้องขอบอกเลยว่า เราเคยดู live นี้ใน Pitchfork แต่พอมาได้ฟังสด ๆ ผ่านหูตัวเองแล้วนี้คือแบบ ตายอะ ตายกันถ้วนหน้า Eargasm มันมีอยู่จริง มันอยู่ตรงนี้แล้ว ร้องไห้แบบบ้า มันคือที่สุดในงานแล้วจริง ๆ แต่ความสนุกยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะยังเหลือ Headliners ด้วยกันอีกสองวงคือ The Vaccines และ PREP ที่เวลาเล่นดันตรงกัน! แต่ในแง่ของการตัดสินใจครั้งนี้ถือว่าไม่ยากสำหรับเราเลย เพราะเราโตมากับ Arctic Monkeys , The Kooks , The Strokes แน่นอนว่าก็ต้องเทใจไปให้ The Vaccines อยู่แล้ว ลุยเลยลูกพี่ (แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากดู PREP เหมือนกันนะ ไว้รอบหน้าละกันเนอะ) (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)ไม่นานนักเงา 5 เงาก็ปรากฎขึ้นเวทีพร้อมกับเสียงกรี๊ดอย่างพร้อมเพรียงของทุกคน เพลงแรกก็เดือดแล้วฮะ พี่แกใส่เต็มกับ Night Club ต่อด้วยเพลงที่เราชอบจากอัลบั้มเก่า Wreckin’ Bar ที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันร้อง Ra Ra Ra และกระโดดโลดเต้นอย่างเมามันส์ Teenage Icon ถูกเล่นเป็นเพลงต่อไป ต่อด้วย Wetsuit แอบแปลกใจเหมือนกันที่พี่แกซัดเพลงต่อกันรัว ๆ ขนาดนี้ ไปเอาพลังมาจากไหน ยังปวดเข่าจาก Oddisee ไม่หายเลย แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ดี ๆ วงต้องหยุดเล่นกลางคัน เดินกลับเข้าไปที่ Backstage ปล่อยให้ผู้คนยืนงงกันอย่างนั้น เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแบบ เกิดอะไรขึ้นวะ เวลาผ่านไปไม่นาน ทางวงก็กลับมาเล่น ซึ่งเล่นได้แค่ราว ๆ 30 วิเองมั้ง ก็หยุดเล่น แล้วลงเวทีไปเช่นเดิม เราเลยคิดเอาเองว่าอาจจะเป็นเพราะ Sound หรือเปล่า รอกันไปอีก 20 กว่านาที ทุกคนในงานก็ได้รู้คำตอบ ล้านสเตตัสบนเฟสบุ้คนี่เรียกได้ว่า เสี่ยงคุก มาก ๆ ถ้าใครอยู่แถวนั้นน่าจะรู้ดีฮะ (ฮา) (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง สมาชิกทั้ง 5 ก็กลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง พร้อมกันใส่แรงกว่าเดิมด้วย Post Break Up Sex แล้วก็ Norgaard แล้วก็มีอีก 2–3 เพลง แต่ยอมรับเลยว่าตอนนั้นสติเริ่มเลอะเลือนแล้ว จำแทบไม่ได้ แต่ที่ชัวร์ ๆ คือเหล่าเพลงชาติถูกขนมาเล่นเต็ม ไม่ว่าจะเป็น I Always Knew , If You Wanna , I Can’t Quit และ Encore ด้วย All in White (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page)โชว์จบ แต่งานยังไม่จบ เพราะยังได้ยินเสียงมาจากอีกเวทีหนึ่งอยู่ เราและเพื่อนรีบวิ่งตามเสียงไปด้วยพลัน PREP กำลังจะเริ่มเพลงสุดท้ายที่ทุกคนต่างร้องกันได้ทั้งงาน นั่นคือ Who’s Got You Singing Again ที่ถือว่าเป็นเพลงปิดงานอย่างแท้จริง และเป็นเพลงปิดได้สมศักดิ์ศรีมาก ๆและสุดท้าย งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา มันไม่ง่ายเลยการที่จะเขียนความสุข ความสนุก ความประทับใจตั้งแต่บ่ายสองจนถึงเที่ยงคืนที่เป็นเวลาเกือบ 10 ชั่วโมง มาเหลือเพียง 5–6 นาทีแบบนี้ มีอีกหลายวงที่เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ดู ไม่ว่าจะเป็น Vacations , Wang Wen หรือ Lucie, Too เพราะเวลามันชนกันแต่นี่แหละคือเสน่ห์ของ Music Festival จริงไหมฮะ ?สำหรับผม งานในครั้งนี้เป็นเหมือนงานที่ “สร้างฝันให้กับทีมผู้จัด” ให้มีขึ้นในปีต่อไปเรื่อย ๆ และ “สานฝันให้เป็นจริงสำหรับคนดูแบบเรา”ขอบคุณที่สร้าง Music International Festival สำหรับดนตรีนอกกระแสขึ้นมาขอบคุณที่ได้เป็นส่วนร่วมในคอนเสิร์ตประวัติศาสตร์สำหรับครั้งแรกนี้ (ขอบคุณรูปภาพจาก Maho Rasop Official Page) และเจอกันใหม่ในปีนี้กับ Maho Rasop Festival ครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นด้วยกันถึง 2 วันเต็ม!สำหรับ Line-Up และรายละเอียดงานต่าง ๆ สามารถติดตามได้ที่ Maho Rasop Festival Official Page ได้เลยจ้า(ถ้าพลาดครั้งนี้ต้องรออีกทีปีหน้าเลยนะ)#mahorasop #mahorasopfestival#fungjai #haveyouheard #seenscenespace