ตั้งแต่เด็กจนโต เวลาเราเรียนรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์ ก็มักจะมีเรื่องราวของสงครามเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ตั้งแต่สมัยโบราณ อียิปต์ก็มีการทำสงคราม กรีกและโรมันยิ่งแล้วใหญ่ เรื่อยมาจนถึงสงครามโลกทั้งสองครั้งและสงครามเย็น ยังไม่รวมสงครามยิบย่อยที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยและทุกที่บนโลก สงครามเหล่านั้นเป็นการสู้รบระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง แต่สิ่งที่จะเล่าในบทความนี้เป็นการทำสงครามระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ฟังดูเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ ครั้งหนึ่งเราเคยทำสงครามกับสัตว์ปีกอย่างนกอีมู ที่เรียกว่าเป็นสงครามเพราะไม่ใช่การสู้กันระหว่างกลุ่มคนเพียงกระจุกและนกเพียงสองสามตัว แต่ละฝ่ายต่างยกกองทัพมาสู้กันอย่างจริงจังเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง เหล่าทหารผ่านศึกออสเตรเลียที่กลับจากการทำภารกิจครั้งสำคัญ เป็นวีรชนคนเก่งที่รัฐบาลจะตอบแทนความเสียสละเพื่อชาติ ด้วยการจัดสรรที่ดินให้ครอบครัวทหารแต่ละนายได้ใช้เพาะปลูก ด้วยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง การมอบที่ดินทำกินจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อเรื่องปากท้องของประชากร ทหารผ่านศึกเหล่านี้ก็มีที่ดินสำหรับปลูกข้าวสาลีและพืชชนิดอื่น ๆ ไว้อุปโภคบริโภคในครัวเรือน บริเวณเวสเทิร์นออสเตรเลีย (Western Australia) ในสมัยนั้นจึงกลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญ เป็นความหวังใหม่ของประชากรออสเตรเลียเลยก็ว่าได้รัฐบาลเห็นว่าเกษตรกรรมบริเวณนั้นเริ่มไปได้ดี ประกอบกับภาวะแห้งแล้งที่รุนแรงขึ้น ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชากรทั่วประเทศ จึงมีนโยบายขยับขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไปยังเขตแคมเปียน (Campion) แชนด์เลอร์ (Chandler) และวัลกูแลนด์ (Walgoolan) โดยหวังใจว่าจะพัฒนาให้เป็นพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในออสเตรเลีย รัฐบาลอุดหนุนเงินทุนให้เหล่าครอบครัวทหารผ่านศึกได้ปรับปรุงที่ดิน ซื้อเมล็ดพันธุ์มาเพาะปลูก ลงทุนไปกับระบบน้ำอย่างมีมาตรฐาน แต่ความหวังนั้นก็พลันพังทลายลง เมื่อนกอีมูฝูงใหญ่หลายหมื่นตัวกำลังอพยพมายังเขตเพาะปลูกของออสเตรเลียเพื่อหาอาหารฝูงนกอีมูเห็นสวรรค์อยู่ตรงหน้า เมล็ดพันธุ์พืชที่หว่านลงไปในดินแล้วเพิ่งงอกต้นอ่อนคืออาหารโปรดของสัตว์ปีกอยู่แล้ว พวกมันจึงถล่มพื้นที่เพาะปลูก ทะลายแนวกั้นเข้ามากัดกินพืชจนกลายเป็นที่นารกร้างเหลือเพียงก้อนดินและก้อนหิน เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้ครอบครัวทหารผ่านศึกลำบากยิ่งกว่าเดิม ลำพังต้องภาวนาให้ฝนฟ้าตกลงมาก็เป็นเรื่องที่แย่มากอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอฝูงนกถล่มที่นาซ้ำสองอีก เหล่าผู้ครอบครองที่ดินจึงรวมตัวกันไปร้องทุกข์กับเซอร์ จอร์จ เพียร์ส (Sir George Pearce) ซึ่งเป็นวุฒิสมาชิกรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อวางแผนกำจัดฝูงนกอีมูให้สิ้นซากโดยใช้อาวุธปืน เพราะเหล่าผู้ครอบครองที่ดินก็เป็นทหารผ่านศึกอยู่แล้ว พวกเขามีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธอยู่พอสมควรสงครามระหว่างทหารผ่านศึกกับนกอีมูจึงเริ่มขึ้น กระทรวงกลาโหมอุดหนุนอาวุธและกระสุนกว่าหมื่นนัด กองทัพมนุษย์รอจังหวะให้นกอีมูเข้ามากัดกินผลผลิตที่เหลือเพียงน้อยนิด แล้วรัวกระสุนใส่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง แต่พวกเขาประเมินกองทัพนกอีมูผิดไป พวกมันมีทักษะการหลบหลีกกระสุนที่เก่งกาจยิ่งกว่าตัวเอกจากภาพยนตร์เรื่องเดอะแมททริกซ์ ทักษะการวิ่งความเร็วมากกว่า 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากกระสุนหมื่นนัดที่ถล่มใส่นกอีมู ผลลัพธ์คือมีนกอีมูที่บาดเจ็บล้มตายไม่ถึงยี่สิบตัวด้วยซ้ำ จากกองทัพของพวกมันทั้งหมดกว่าสองหมื่นตัว หลังจากนั้นจึงมีการเบิกกระสุนและอาวุธปืนมาเพิ่มเพื่อโจมตีระลอกสอง สงครามครั้งนั้นเกิดขึ้นนานกว่าหกวัน ผลสรุปคือกองทัพมนุษย์สามารถฆ่านกอีมูได้เพียงสองพันตัว ส่วนที่เหลืออีกหมื่นกว่าตัวไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยภายหลังมีการวิเคราะห์พฤติกรรมของนกอีมู หาสาเหตุว่าทำไมสงครามครั้งนั้นกองทัพมนุษย์ที่เป็นทหารผ่านศึกแท้ ๆ จึงพ่ายแพ้ให้กับสัตว์ปีกอย่างราบคาบ จึงค้นพบคำตอบว่าความจริงแล้วฝูงนกอีมูมีกลยุทธ์แบบสงครามกองโจร พวกมันมีจ่าฝูงที่มีขนาดสูงใหญ่กว่านกตัวอื่น มีตัวล่อตัวชนกลุ่มหนึ่งที่เสี่ยงออกไปหากินก่อน เมื่อพบว่ามนุษย์ซุ่มยิงอยู่ก็จะส่งสัญญาณไปหานกตัวอื่น ๆ ให้วิ่งหนีไปตามเส้นทางที่พวกมันวางแผนไว้ นกอีมูไม่วิ่งเป็นเส้นตรง แต่จะวิ่งฉีกออกไปเพื่อหลบหลีกแนววิถีกระสุน นั่นจึงทำให้การปราบนกอีมูครั้งนั้นไม่สำเร็จ จนสุดท้ายต้องเรียนรู้พฤติกรรม ในเมื่อนกอีมูไม่สามารถบินได้ ก็ต้องใช้วิธีก่อกำแพงสูงไม่ให้พวกมันข้ามเข้ามาได้ หลังจากนั้นพวกมันจึงค่อยอพยพไปยังถิ่นอื่นในที่สุด เรียกว่าเป็นมหากาพย์ที่ชาวออสเตรเลียต่างอับอายขายหน้ากันมากทีเดียวเมื่อพูดถึงเรื่องนี้เครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย JACLOU-DL : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 1 โดย Alexa-Fotos : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 2 โดย Richardpowell : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 3 โดย Brooklynjohn : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 4 โดย Barni1 : PIXABAY