คนไทยเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับ 'น้ำแข็งไส' ของหวานดับร้อนที่สามารถรับประทานได้ตลอดทั้งปี น้ำแข็งก้อนโตที่บดจนเป็นเกล็ดละเอียด ราดด้วยน้ำหวานหลากสีสันกับนมข้นหวาน พร้อมด้วยเครื่องเคียงเป็นบรรดาขนมปัง ลูกชิด เฉาก๊วย หรือข้าวโพด ก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ เรียกว่าทุกครั้งที่ได้กินก็มีความสุขทุกครั้งไป แต่รู้หรือไม่ว่าไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้นที่รู้จักขนมหวานชนิดนี้ แต่ในประเทศญี่ปุ่นยังได้รับความนิยมจนมีวันสำคัญเป็นของตัวเอง เรียกว่า 'วันน้ำแข็งไส' (Kakigori Day) ชวนไปดูกันว่าวันนี้มีความเป็นมาอย่างไร ตรงกับวันใดและมีกิจกรรมอะไรที่น่าสนใจกันบ้างคนญี่ปุ่นเรียกน้ำแข็งไสว่า คากิโกริ (Kakigori) แต่เดิมเป็นของหวานสำหรับชนชั้นสูง รับประทานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ตรงกับสมัยเฮอัน ยุคนั้นมีการทำน้ำแข็งเป็นรูปสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่ เมื่อถึงฤดูร้อนน้ำแข็งเหล่านี้ก็จะถูกส่งมายังพระราชวังเพื่อนำมาทำเป็นคากิโกริ โดยการใช้มีดหั่นน้ำแข็งให้เป็นฝอยบาง นำมาใส่ในภาชนะที่เป็นเหล็กเพื่อชะลอเวลาไม่ให้น้ำแข็งละลายเร็วเกินไป โดยจะรับประทานกับน้ำหวานที่ทำจากดอกไม้ และน้ำเชื่อมที่มีส่วนผสมของทองคำ เรียกว่าเป็นอาหารชาววังที่มีกรรมวิธีการทำที่ค่อนข้างปราณีตและพอถีพิถันไม่ต่างกับอาหารไทยบ้านเราต่อมาในปี 1872 สมัยเมจิ ได้มีนักธุรกิจมองเห็นลู่ทางพัฒนาน้ำแข็งไสญี่ปุ่น ให้คนทั่วไปสามารถรับประทานได้ด้วย จึงเปิดร้านคากิโกริร้านแรกขึ้นในปี 1872 ตั้งอยู่ที่จังหวัดคะนะงะวะ โดยน้ำแข็งไสญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม จะแตกต่างจากของชาววังตรงที่เปลี่ยนจากน้ำหวานดอกไม้กับน้ำเชื่อมทองคำ เป็นน้ำหวานที่เคี่ยวจากน้ำตาล อีกทั้งยังมีเครื่องเคียงเป็นถั่วแดงบด และต่อมามีการประดิษฐ์เครื่องบดน้ำแข็งใช้เอง คากิโกริจึงกลายเป็นของหวานที่นิยมรับประทานกันในหน้าร้อน นำวัตถุดิบต่าง ๆ มาดัดแปลงให้มีรสชาติแปลกใหม่ โดยเฉพาะผลไม้นานาชนิด พร้อมกับมีเครื่องเคียงแปลก ๆ เพิ่มเข้ามามากมาย เช่น หมากฝรั่ง มันทอด ฟักทองบด แต่ถึงอย่างไรคากิโกริที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือน้ำแข็งไสรสชาเขียวมัทฉะกับถั่วแดงนั่นเองเมื่อคากิโกริเป็นของหวานที่ฮอตฮิตติดลมบนในประเทศญี่ปุ่นมาทุกยุคทุกสมัย จึงมีการก่อตั้งวันแห่งน้ำแข็งไสขึ้นอย่างเป็นทางการ ตรงกับวันที่ 25 กรกฎาคมของทุกปี โดยเป็นการเล่นคำว่าคากิโกริ ซึ่งพ้องกับความหมายว่า น้ำแข็งในหน้าร้อน และยังเกิดขึ้นเพื่อระลึกถึงวันที่ญี่ปุ่นมีอุณหภูมิสูงที่สุดในประวัติการณ์คือ 40.8 องศาเซลเซียส ที่จังหวัดยามากาตะ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ปี 1933 อีกด้วย นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมประเทศญี่ปุ่นจึงมีวันสำคัญของขนมหวาน เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่นำมาฝากกันในบทความนี้ แม้เราจะเป็นคนไทยแต่ก็ขอให้มีความสุขกับการรับประทานน้ำแข็งไสด้วยเช่นกันเครดิตรูปภาพรูปภาพหน้าปก โดย Ser Amntio de Nicolas : WIKIMEDIA COMMONS (CC BY-SA 2.0)- ภาพประกอบที่ 1 โดย OpenCliparts-Vectors : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 2 โดย Joon279 : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 3 โดย Jannoon028 : FREEPIK