เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Libra สกุลเงินที่ใคร ๆ ก็ว่าจะมาเปลี่ยนโลกกัน โดยได้มีการออกเอกสาร White Paper 2.0 เพื่อเป็นการ Update วิธีการและรูปแบบต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจาก 1.0 ที่เรียกเสียงฮือฮาในโลกออนไลน์ เมื่อเดือน มิถุนายน ปีที่แล้ว ถ้าถามว่ามีอะไรที่น่าสนใจและมีอะไรที่เปลี่ยนไป ผมรวมมาให้อ่านกันในบทความเดียว ใครที่ยังไม่เคยอ่านเรื่อง Libra อ่านได้ ใครเคยอ่านแล้ว ยิ่งอ่านดี เอ้า เริ่ม!! ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันสักหน่อยว่า Libra คืออะไร สำหรับคนที่ไม่เคยติดตามเรื่องนี้เลย แต่ถ้าใครรู้อยู่แล้ว ข้ามไปที่ย่อหน้าถัดไปได้เลย Libra คือสกุลเงิน ดิจิทัล รูปแบบหนึ่งที่อาศัยระบบการจัดการที่เรียกว่า Blockchain มาใช้ (แนะนำว่าให้อ่านตัวซีรีส์ของผม ได้อธิบายไว้เรียบร้อยแล้วในตอนที่ 4) ความใฝ่ฝันของ Libra นั้นคือการสร้าง "อิสระทางการเงิน" คือการที่ใครต่อใครสามารถเข้าถึงเงินได้หมด(เนื่องจากว่าประชากรส่วนใหญ่บนโลกไม่สามารถเข้าถึงระบบธนาคารแต่เข้าถึง Internet มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กเลยมองว่า อยากที่จะทำให้คนเข้าถึงได้งาย ๆ แค่ใช้ผ่าน internet)ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นไหน ขอเพียงแค่มี Internet และสามารถใช้งานมันได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่เมื่อปีที่แล้ว พอออก ข้อกำหนด การใช้งาน เอกสารชี้แจงต่าง ๆ ออกมา ปรากฎว่า โดนด่าเพียบ!! มีแต่คนจองกฐิน รุมยำ ซะจนพี่ มาร์ค มึนไปเลยทีเดียว เหตุผลหลัก ๆ นั่นเพราะสิ่งที่เสนอมานั้นมัน ไม่สามารถควบคุมได้นั่นเอง!! ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเรื่องเงินและตรวจสอบควบคุมไม่ได้มันจะเละเทะแค่ไหนกัน?? นั่นแหละครับเป็นประเด็นที่ทำให้ เจ้าภาพร่วม 27 บริษัท ถอนตัวออกไป จนเหลือ 22 บริษัท และมีมาเพิ่มใหม่อีก 1 จนตอนนี้มีทั้งหมด 23 บริษัท แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้ครับ ได้ทำ คอมเม้นต์ ต่าง ๆ ที่โดนมาในรอบที่แล้ว ไปปรับปรุงแก้ไขใหม่ จนในที่สุดก็คลอด White Paper 2.0 ออกมาให้เราได้ยลโฉมกัน Libra รอบนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง?? การเปลี่ยนแปลง หลัก ๆ แบ่งเป็น 4 หัวข้อครับ นั่นก็คือ 1. รูปแบบของ libra coin ที่เปลี่ยนไป 2. กำหนดกลุ่มผู้ให้บริการ Libra อย่างชัดเจน 3. เปลี่ยนข้อกำหนดใหม่สำหรับการเข้ามาเป็นสมาชิก 4. มีระบบป้องกันที่แข็งแกร่งที่มากขึ้นของ Libra Reserve แต่ละข้อคืออะไรบ้าง?? บอกเลยว่ารายละเอียดที่สำคัญทั้งหมด อยู่ใน 4 ข้อใหญ่ที่แหละครับ เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น มาเจาะกันเป็นข้อ ๆ เลย ดังนี้ครับ 1. รูปแบบของ Libra coin ที่เปลี่ยนไป แต่เดิม Libra นั้น มีแค่ รูปแบบเดียว ที่อิงค่าเงินจาก สกุลหลัก 5 สกุลเงิน แต่ใน 2.0 นั้นเปลี่ยนไป มี 2 รูปแบบ คือ 1.1 แบบ single-currency stablecoins คือ Libra+ชื่อสกุลเงิน ในครั้งนี้ Libra มองตัวเองเป็น Platform ให้แบงค์ชาติของแต่ละประเทศนั้นมาใช้ Platform ของตัวเอง และสามารถสร้างเงินดิจิทัลของตัวเองได้ในทันที โดยใช้อัตราส่วน 1:1 Ratio เช่น แบงค์ชาติอเมริกาอยากได้ LibraUSD แต่ตัวเองไม่มีระบบที่จะสร้าง ก็มาที่ Libra ขอใช้ Platform จ่ายเงินให้ Libra 1,000,000 USD Libra ก็จะออก LibraUSD มาให้ 1,000,000 coin เอาไว้ใช้ในระบบต่าง ๆ ภายในประเทศ ในแรกเริ่มนั้น มีตั้งต้นมาทั้งหมด 4 สกุลเงินได้แก่ USD, GBP, EUR และ SGD แต่เอกสารลงไว้ว่าสามารถเปิดรับสกุลอื่น ๆ ได้อย่างไม่จำกัด นั่นก็หมายความว่า ถ้าประเทศไหนอยากมี Libra ใช้ในประเทศที่เป็นสกุลเงินของตัวเอง ก็สามารถมาใช้ Platform ของ Libra ในการผลิตเหรียญได้เลย ซึ่งข้อดี ที่เขาการันตีไว้นั่นก็คือ สะดวก, รวดเร็ว, ปลอดภัย, และความหน่วงต่ำ เรียกว่าเรียกแขกกันสุด ๆ 1.2 แบบ Global Libra คือ สกุล Libra หลักที่ไม่มีอะไรต่อท้าย และใช้กันในระดับโลก คือแบบแรกจะใช้ได้แค่ภายในประเทศของตัวเองเท่านั้นนะครับ ไม่ได้ใช้นอกประเทศ ถ้าจะ Transfer กัน จะต้องใช้แบบหลังนี้ ซึ่ง Libra หลักนี่ก็จะมีมูลค่าเป็นค่าเฉลี่ยของสกุลเงิน 4 สกุล ได้แก่ USD, GBP, EUR และ SGD นั่นเอง สรุป ก่อนไปข้อ 2 แบบแรกนั้นจะเป็นเหรียญที่ใช้ภายในประเทศเท่านั้น ไม่สามารถใช้ข้ามประเทศได้ และมีอัตราการแลกเปลี่ยนจากเงิน ปกติเป็น เหรียญดิจิทัลแบบ 1 ต่อ 1 แต่ถ้าเกิดอยากซื้อของต่างประเทศ โอนเงินไปต่างประเทศ ก็จะใช้ แบบที่ 2 คือ Libraglobal ที่เรียกได้ว่าเป็นเสมือนค่าเงินกลางของโลกยุคใหม่ ในอนาคตปลายทางการรับโอนอาจจะถามเราว่าจะจ่ายเป็น Libra coin รึเปล่า ซึ่งจ่ายกี่เหรียญ ก็แค่เอาเงินที่มีไปแลกเอา 2. กำหนดกลุ่มผู้ให้บริการ Libra อย่างชัดเจน เมื่อมีเหรียญ Libra ใช้กันแล้วทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ก็ต้องมีการกำหนด คนที่สามารถเข้ามาใช้งานได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน โดยมีการแบ่งกลุ่มเหล่านี้ เป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้ 2.1 Designated Dealers หรือจะเรียกว่าตัวแทนจำหน่ายก็ได้ จะเป็น หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรอิสระ ก็แล้วแต่ สามารถเข้าไป ทำข้อตกลงกับ Libra เพื่อที่จะขอนำ Platfrom Libra มาใช้เพื่อออกสกุลเงินของตัวเอง ถ้ามองระดับประเทศ ก็คงจะเป็น แบงค์ชาติ หรือตัวแทนของประเทศที่จะมาขอใช้ Platform นั่นเอง 2.2 Virtual Asset Service Providers (VASP) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือตัวแทนสำหรับ Exchange Libra coin อย่างถูกกฎหมายนั่นเอง ถ้ามองภาพ ในปัจจุบัน ก็คงจะประมาณ Super rich ในบ้านเรานี่แหละที่เป็นประเภทนี้ แต่ตรงนี้มีข้อกำหนดว่า จะต้องได้ใบอนุญาติ Financial Action Task Force (FATF) ที่สหรัฐอเมริกาก่อน เพื่อจะได้เป็นผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ใบอนุญาต (Regulated VASPs) ถึงจะให้บริการได้ 2.3 VASP ที่ไม่มีใบอนุญาติแบบข้อ 2 ข้อนี้ง่าย ๆ ครับ คือ ผู้ประกอบการแลกเปลี่ยนต่าง ๆ ที่ไม่มีใบอนุญาติแบบข้อ 2 สามารถที่จะไปขอใบอนุญาติได้โดยตรงกับทาง Libra ซึ่ง Libra จะเป็นคนตรวจสอบเองทั้งหมด Approve เองทั้งหมด ถ้าผ่านก็สามารถที่จะประกอบการได้ 2.2 และ 2.3 พูดง่าย ๆ ว่า คือตัวแทนในการแลกเปลี่ยน Libra coin นั่นเอง เพราะอย่างที่ได้บอกไปว่า มันจะมี 2 แบบ แบบแรกที่ใช้ในประเทศกับแบบที่ 2 ที่ใช้นอกประเทศ ไม่ว่าแบบไหนถ้าคนต้องการก็ต้องผ่านตัวแทนที่ว่าก่อนนี่แหละ 2.4 อื่นๆ ง่าย ๆ อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบุคคล หรือ นิติบุคคล ที่ไม่เข้าข่าย 3 ข้อด้านบน และอยากที่จะให้บริการแลกเปลี่ยนจะตกที่ข้อนี้ทั้งหมด ซึ่งถ้ามองภาพให้ชัดไปอีก ก็น่าจะเป็น พวก ตัวกลางต่าง ๆ เช่น Line, grab, shopee พวกนี้แหละครับ ที่อยากจะให้เงิน Libra เข้ามาใช้เป็นตัวเลือกหนึ่งในการใช้งานด้วยเช่นกัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ใน White paper ยังไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด ว่าจะออกมาถูกหรือแพงเพียงไหน ทำได้แต่เพียงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร 3. เปลี่ยนข้อกำหนดใหม่สำหรับการเข้ามาเป็น สมาชิก สำหรับใครที่ยังไม่รู้ ว่าการเป็นสมาชิกใน Libra ตอน 1.0 นั้นโหดหินแค่ไหน ผมจะบอกให้ฟัง - มีมูลค่าบริษัทเกินพันล้านดอลลาร์ - ผู้ใช้เกิน 20 ล้านคน - เป็นแบรนด์ระดับ 100 แบรนด์แรกของโลกในการจัดอันดับรายใหญ่ คุณต้องมีคุณสมบัติ 2 ใน 3 ข้อนี้จึงจะสามารถเข้ามาเป็นได้ แต่นี่คือ 2.0 และทุกอย่างได้เปลี่ยนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจาก คุณสมบัติ ด้านบนตอนนี้ได้หายไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะในตอนแรก เขาบอกว่าไม่มีการตรวจสอบคนที่เข้ามาเป็นสมาชิก ขอแค่มีคุณสมบัติ ข้อนี้ทำให้หลาย ๆ ฝ่ายกังวล ว่าถ้ามีคนไม่ดีเข้ามาเป็นสมาชิกและคดโกงจะทำยังไง ใน 2.0 นี้จึงแก้ข้อนี้ให้มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นก่อนที่จะได้เข้ามาเป็นสมาชิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คร่าว ๆ ก็คือ ต้องมีระบบรองรับที่ดีมากพอ ต้องจ่ายเงินช่วยสนับสนุน และถูกตรวจหลังบ้านด้วยอีกมากมาย 4. มีระบบป้องกันที่แข็งแกร่งที่มากขึ้นของ Libra Reserve ต้องบอกแบบนี้ก่อนครับ โดยปกติแล้ว เวลาเราเอาเงินไปฝากธนาคาร ธนาคารไม่ได้เก็บเงินเราไว้เต็ม 100% แต่จะนำเงินส่วนหนึ่งไปปล่อยกู้หรือลงทุนต่อไป และสำรองไว้ 10% กันเวลาเรามาถอนออก เลยมีคำพูดที่บอกว่าถ้าเกิดทุกคนแห่ไปแบงค์และถอนเงินออกหมดรับรองแบงค์ได้ล้มละลายแน่นอน Libra เองก็เช่นกัน เขาบอกว่ามีการสำรองเงิน แบบ 1 ต่อ 1 สำหรับการผลิตเหรียญ ถ้ามองง่าย ๆ มันก็ไม่ต่างกับธนาคารจริงไหมครับ แต่เพื่อความมั่นคงที่ต้องมีมากกว่า ธนาคาร Libra เลยบอกว่า จะสำรองเป็นเงินสดไว้ถึง 20% ส่วนที่เหลือ จะนำไปลงทุนในตราสารรัฐบาลระยะสั้น ไม่เกิน 3 เดือน เพื่อกินกำไรส่วนต่างเพียงเล็กน้อย และสามารถซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว ในกรณีที่มีคนมาถอนเงินที่ขอสร้างเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งกองทุน Capital buffer ขึ้นมาสำหรับในกรณีที่ต้องนำเงินสำรองเวลาฉุกเฉินมาใช้ จริง ๆ ซึ่งเงินตรงนี้ก็ไม่ได้บอกว่า นำมาจากไหน (แต่ถ้าจะให้เดา ก็น่าจะเป็นจากสมาชิกนี่แหละ ที่ต้องลงขันกัน) จบไปแล้วกับ 4 ข้อสำคัญของ Libra 2.0 ที่มีทั้งการปรับเปลี่ยน หรือเปลี่ยนไปสิ้นเชิงเลยก็มี ถ้ามองให้ดี ตอนนี้ Libra จะกลายเป็นเสมือน Paypal รูปแบบ ใหม่ที่ใช้ Blockchain ไปซะแล้ว ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์แรกเริ่ม ที่อยากให้ใช้อย่างอิสระมากกว่านี้ แต่แน่นอนว่า เรื่องของการเงิน ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่สามารถควบคุมได้ ไม่เช่นนั้น จะมีการกระทำที่ผิดกฎหมายเต็มไปหมด สุดท้ายก็เลยต้องปรับข้อตกลงการใช้งานต่าง ๆ ให้มาอยู่ในกฎในเกณฑ์ มากขึ้น สรุปว่าไปต่อแน่นอน สำหรับ Libra และความตั้งใจของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วจะผ่านหรือไม่ผ่าน สภาครองเกส ของสหรัฐนั้น ก็ต้องมานั่งลุ้นกัน ที่น่าสนใจก็คือ จีนได้ประกาศไปแล้วว่าจะทดลองใช้ Digital Yuan ที่ใช้ระบบ Blockchain เหมือนกัน งานนี้ สหรัฐจะยอมนิ่งดูดายปล่อยให้จีนเปิดตัวใช้ไปชิว ๆ หรือว่าจะรีบ แก้เกมกลับ ดึง Libra มาชูโรง และออกไปท้าชนกับ Digital Yuan กันแน่ ในความคิดเห็นของผู้เขียน นี่คือสงครามที่ชิงอำนาจผู้นำทางการเงิน ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งถ้าถามถึงความพร้อมในตอนนี้ จีนเป็นฝ่ายที่พร้อมมากกว่า ผิดกับทางสหัรัฐที่ยังเจอปัญหาต่าง ๆ มากมาย และยังไม่พ้นจากวิกฤตไวรัส Covid-19 งานนี้ เราอาจจะได้เห็น Digital Yuan ออกมาใช้ก่อนก็เป็นได้ แต่คิดว่าไม่นานจนเกินรอ สภาน่าจะปล่อยให้ Libra ผ่านเพื่อจะมาคานอำนาจซึ่งกันและกัน และโลกของการเงินยุคใหม่จะถือกำเนิดขึ้น นั่นคือโลกของ Digital Currency เงินกระดาษจะหายไปเหลือใช้เพียง 10-20% และจะค่อย ๆ ทยอยหายไป เฉกเช่นเดียวกับ เงินพดด้วงในอดีต สำหรับในประเทศไทย เราคงอาจจะต้องรอกันไปอีกสักหน่อย เพราะตอนนี้ ทางไทยเองก็มีการพัฒนา อินทนนท์ coin เอาไว้สำหรับใช้งานในประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การที่ไปใช้ระบบของ Libra นั้นอาจจะยังไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ถ้าในระดับการ Transfer money ข้ามโลก ถ้าเรามีพันธมิตรที่ใช้ระบบเดียวกันที่ดีพอ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่ง Libra เช่นกัน รอดูอนาคตของโลกการเงินที่กำลังจะเปลี่ยนไปพร้อม ๆ กันครับ และถ้าถามว่า Digital Currency นี่มันสำคัญยังไง ตอนนี้หลาย ๆ คนคงจะไม่เข้าใจ และมองว่ามันน่าจะไกลตัว แต่สำหรับผม เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า นี่แหละ คือสิ่งที่จะมาเปลี่ยนแปลงโลกแห่งการเงินอย่างแท้จริง ซึ่งดูจากเวลาแล้ว ก็คงอีกไม่นานเกินรอ Ref 1. https://libra.org/en-US/white-paper/#the-economic-and-the-libra-reserve 2. ผมฟังคุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา พูดใน Live แล้วมาใส่ภาษาแบบอ่านง่ายเข้าใจกันทุกคน Cr.Pic หน้าปก Freepic ภาพประกอบ Pixabaypic1/Pic 2 Libra.org/Pic 3 freepix/Pic4 BoT/Pic 5 Libra.org/Pic6 freepix