อื่นๆ

[รีวิวหนัง] The Bow คันธนูผู้มั่นคง (ตอนที่ 2)

1.9k
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
[รีวิวหนัง] The Bow คันธนูผู้มั่นคง (ตอนที่ 2)

โปสเตอร์ The Bow

ต่อจากตอนที่ 1

The Bow(2005) มีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกับหนังเรื่อง 3-Iron(2004) ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ คิม คีดุก ผู้กำกับหนังอิสระชาวเกาหลีใต้ที่กำลังมาแรงในระดับนานาชาติ(ณ ช่วงเวลาที่ออกฉาย) ซึ่งมักเป็นที่รู้จักจากเทศกาลหนังต่างจากในประเทศบ้านเกิดเองที่หนังของเขามักไม่ทำเงิน และออกฉายในวงจำกัด ไม่ว่าจะเป็นตัวละครหลักที่พูดน้อย จนถึงขั้นไม่พูดอะไรเลย แต่ดำเนินเรื่องโดยอาศัยดนตรีเป็นตัวกลบความเงียบ ช่วงท้ายที่ตัวหนังได้กลายเป็นงานแฟนตาซีเมื่อผสมผสานเรื่องเล่าที่ปะปนความเชื่อเหนือธรรมชาติของชาวเอเชียเอาไว้ รวมถึงการจบด้วยประโยคสั้นสรุปแนวคิดของหนัง ขณะเดียวกันมันก็รวมองค์ประกอบหลายๆ อย่างในผลงานเรื่องก่อนๆ ไว้เช่นกัน ตั้งแต่เนื้อหาที่คาบลูกคาบดอกในเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมอันดี(Samaritan Girl), เหตุการณ์ที่เกิดกลางสายน้ำ(The Isle), งานจิตรกรรม และวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากนิกายเซ็น(Spring, Summer, Fall, Winter…and Spring), สาระที่ว่าด้วยอุดมคติกับความเป็นจริง(Real Fiction)

Advertisement

Advertisement

สัญลักษณ์อย่างคันธนูถูกแทนเป็นหลายต่อหลายสิ่ง บางครั้งมันคือเครื่องมือเลี้ยงชีพในการทำนายโชคชะตา, บางครั้งก็เป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้ปกป้องตนและเด็กสาวจากคนภายนอก, บางครั้งก็เป็นเครื่องดนตรีไว้คอยจรรโลงใจ ขับกล่อมเพลงแก่เด็กสาว รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ที่เปรียบเสมือนความปรารถนาของชายชราผู้นี้ ไม่ต่างกับตัวแทนของอวัยวะเพศ

…แต่เหนืออื่นใดคันธนูในเรื่องก็นับเป็นอีกตัวละครหนึ่งที่เป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างคนสองคน ต่างเพศ ต่างวัย ให้สื่อสารกันได้เพียงสองคน

นับตั้งแต่ผลงาน Spring, Summer, Fall, Winter,… and Spring (2003) หนังที่เล่าเรื่องพุทธศาสนาอย่างมีเอกลักษณ์ งานของ คิม คีดุก ก็มีโทนที่เบาลงไปเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะภาพความรุนแรงที่ผู้ชมบางกลุ่มอาจรับไม่ได้ ซึ่งยังคงมีให้เห็นประปราย แต่ก็ลดลงไปมาก จนน่าจะถือได้ว่า The Bow (นับถึงตอนที่ออกฉาย) เป็นงานที่ดูง่ายที่สุดของผู้กำกับเกาหลีใต้รายนี้ ในด้านหนึ่งมันท้าทายคนดูน้อยลง ไม่มีท่าทีแข็งกร้าวที่มักตั้งคำถามแรงๆ ใส่หน้าผู้ชมแบบเดิม อย่างไรก็ตามงานของเขาก็นิ่ง และสุขุมขึ้นมากเช่นเดียวกันในการสื่อสารกับผู้ชม มีงานกำกับที่สวยงาม ใช้ดนตรีช่วยดำเนินเรื่องได้อย่างมีพลัง การนำเสนอชีวิตคนชายขอบของสังคมซึ่งบางครั้งเข้าใจยาก อาจถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นนามธรรมมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับหนังในทางเดียวกัน ตัวละครในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีลักษณะเป็นอุดมคติจนเกินไป พวกเขาเหล่านั้นมีดีมีเลวอยู่ในตัว ไม่ต่างกับมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง

Advertisement

Advertisement

จากกลวิธีที่กำหนดให้ตัวละครไร้ชื่อ สถานที่ซึ่งไม่มีการระบุหลักแหล่ง หรือกาลเวลาที่ชัดเจน ทำให้ตัวละครหลักทั้งสองแปลกและแตกต่างจากตัวละครอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด พร้อมกันนั้นสถานที่ซึ่งพวกเขาดำรงชีวิตก็ปลีกห่างจากผู้คนราวกับอยู่คนละโลก เป็นสองชีวิตที่อาจไม่เข้าใจโลกที่อยู่ฝั่ง แต่รู้ลึกซึ้งยิ่งกับชีวิตกลางนาวาา

ทางเลือกและบทสรุปของตัวละครใน The Bow เองก็ยังคงเป็นชีวิตที่หลายคนบนโลกทุกวันนี้อาจไม่เข้าใจ หรือยอมรับได้ง่ายนัก

หากชีวิตบนโลกก็มัก มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ มีการกระทำอีกมากมายในโลกที่ซับซ้อน แปลกประหลาดจนไม่สามารถหาคำอธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์, ด้วยการตีค่าของสังคม, ด้วยหลักศีลธรรม แต่ทุกอย่างบนโลกก็มีคำตอบในตัวของมันเสมอ หากเพียงเราเปิดใจ และยอมรับ

ภาพประกอบจาก : hancinema.net

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์