เมื่อครั้งที่ไปไหว้พระที่วัดบวรนิเวศวิหาร ตรงถนนพระสุเมรุ ขณะที่กำลังเดินเล่นไปรอบๆ วัด พลันไปสะดุดกับตึกนึงที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านหลังของวัด สวยมาก ตึกที่ว่านี้คือตึกมนุษยนาควิทยาทาน พอรู้ว่าตึกนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ก็เลยลองเดินเข้าไปข้างใน ณ เวลานั้นไม่มีใครเลยนอกจากเจ้าหน้าที่ ข้างในสภาพคล้ายๆ โบสถ์ค่ะ แต่ที่นี่คือแหล่งเรียนรู้ชั้นดีที่น้อยคนนักจะรู้จักกันหากย้อนกลับไปในอดีต เมื่อปี พ.ศ.2466 สมัยรัชกาลที่ 6 อาคารมนุษยนาควิทยาทานหลังนี้คืออาคารเรียนสองชั้นของโรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งต่อมาในวโรกาสที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชนมายุ 96 พรรษา ครบ 8 รอบ ในปี พ.ศ.2552 จึงได้มีการบูรณะซ่อมแซมและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารขึ้น เพื่อรวบรวมพระประวัติและผลงานของเจ้าอาวาสวัดบวรฯ ทุกพระองค์ มาจัดแสดงให้เป็นที่ปรากฏแก่สาธารณชน ซึ่งการจัดแสดงนั้นแบ่งเป็น 6 ห้องด้วยกัน เราขอนำเสนอมาแค่ 2 ห้องพอนะ ถ้าเสนอครบทุกห้อง เกรงว่าบทความนี้จะยาวเกินไป เรามาเริ่มกันที่ห้องของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีพระนามว่า “พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ” เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 47 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแพ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ.2422 มีพระนามฉายาว่า “มนุสสนาโค” ได้รับถวายมหาสมณุตมาภิเษกเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ.2453 และทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุมาต่อกันที่อีกห้องนึง ห้องนี้เชื่อว่าใครๆ ก็ต้องรู้จักท่านนี้เป็นอย่างดี เพราะห้องนี้เป็นห้องของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นั่นเองสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สุวฑฒโน เจริญ คชวัตร) ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงรอบรู้เชี่ยวชาญทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติ ในด้านปริยัติ ทรงนิพนธ์ตำรับตำราพระธรรมเทศนา ธรรมนิพนธ์ ศาสนคดี และพระโอวาท ไว้มากมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งได้ดำเนินการให้แปลพระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาเป็นภาษาไทย เรียกว่า “พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย” และดำเนินการให้แปลตำราทางพระพุทธศาสนาเป็นภาษาอังกฤษ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชาวต่างประเทศที่ต้องการศึกษาพระพุทธศาสนาในส่วนของสถาปัตยกรรมของอาคารหลังนี้มีลักษณะคล้ายโบสถ์ฝรั่ง เนื่องจากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสมัยที่ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตก อาคารแห่งนี้จึงสวยงามด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมเลียนแบบศิลปะโกธิค เห็นได้จากด้านหน้าของอาคารเป็นนาฬิกาขนาดใหญ่ เมื่อเข้ามาด้านในก็จะพบห้องโถงที่ประดับไปด้วยโคมไฟระย้าและการติดผนังด้วยเสากลมรองรับซุ้มโค้ง หน้าต่างประดับกระจกสี พิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารแห่งนี้ นอกจากจะเป็นการประกาศพระเกียรติคุณของผู้ครองวัดบวรนิเวศทุกพระองค์แล้ว ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนาและประวัติของชาติไทยให้คงอยู่ ซึ่งพุทธศาสนิกชนสามารถเข้าชมได้ในวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00 – 15.00 น. ณ อาคารมนุษยนาควิทยาทาน (ไม่เสียค่าเข้าชม)ปล.ทุกภาพในรีวิวนี้ถ่ายโดยผู้เขียน