ไวรัส COVID-19 เป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ และข่าวรายงานประจำวันทุกช่วงรายการ ทุกชั่วโมง ซึ่งสถานการณ์ผู้ป่วยทั้งระดับโลก และระดับประเทศไทย มีมากขึ้น จึงทำให้คนไทยบางคนมีความตระหนกจนเกิดความกลัวมากเกินไป ดังนั่นเราต้องมาทำความเข้าใจ COVID-19 เมื่อเราเข้าใจ ก็จะทำให้เราไม่ตระหนก แต่เกิดความตระหนักอย่างมีสติแทน (ที่มารูปภาพ : European Centre for Disease Prevention and Control) COVID-19 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 ได้กำหนด COVID-19 ให้มีชื่อเต็มว่า Coronavirus Disease 2019 ภาษาไทยเราเรียกว่า "โควิดสิบเก้า" (แหล่งที่มา : ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563) ซึ่ง COVID-19 ตามที่รายงานตามข่าวอย่างแพร่หลายจะมีแหล่งกำเนิดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และได้กระจายออกไปสู่นอกประเทศผ่านผู้ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการ จนทำให้มีผู้ติดเชื้อทั่วทวีป และกลายเป็นทั่วโลกในเวลาต่อมา สถานการณ์ COVID-19 มีทั้งระดับโลก และระดับประเทศ ซึ่งจะมีการรายงานตัวเลขยอดจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ที่ได้รับการรักษาจนหายดี และผู้เสียชีวิต ในทุก ๆ วัน โดยสามารถติดตามได้ดังนี้ ในส่วนของระดับโลก สามารถติดตามได้จากเว็บ https://gisanddata.maps.arcgis.com/apps/opsdashboard/index.html#/bda7594740fd40299423467b48e9ecf6 ในส่วนของระดับประเทศไทย สามารถติดตามได้จากเว็บ http://covid19.ddc.moph.go.th ซึ่งเป็นเว็บของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่แสดงเป็นแผนที่ประเทศไทย และทำสีแดงในจังหวัดที่มีผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ยืนยันแล้ว เมื่อคลิกไปที่จังหวัดที่มีการติดเชื้อ จะแสดงรายละเอียดวันที่ ช่วงเวลา และสถานที่ที่ผู้ติดเชื้อไปมา เพื่อให้ประชาชนรู้ว่าสถานที่นี้ หากเคยไปมาในวัน เวลา เดียวกันกับผู้ป่วย จะได้เฝ้าระวังตนเองกักตัวเองอยู่บ้านเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังอาการของตนเอง และต้องรีบแจ้งกับสาธารณสุขที่ใกล้พื้นที่บ้านของตนเอง เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้คัดกรองอาการทางสุขภาพ หากเกิดความผิดปกติจะได้รับการรักษาอย่างทันที และมีการส่งต่อที่รวมเร็วตามมาตรฐานการป้องกันการแพร่เชื้อ การติดต่อเชื้อไวรัส COVID-19 สามารถติดต่อได้ระหว่างคนสู่คน ตามรายงานปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้ว่าสามารถติดต่อโดยผ่านสัตว์เลี้ยง ซึ่งการติดต่อระหว่างคนสู่คนจะแพร่เชื้อไวรัส COVID-10 ผ่านการไอ จาม น้ำลาย น้ำมูก หรือสารคัดหลั่งในร่างกายของผู้ที่มีเชื้อไวรัส COVID-19 และทุกคนไม่ว่าขะมีสุขภาพแข็งแรงหรือมีโรคประจำตัวก็สามารถเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ แต่ความรุนแรงของอาการจะแตกต่างกันไปตามสภาวะร่างกายของแต่ละคน ดังนั่นทุกคนทั่วโลกมีโอกาสติดเชื้อ COVID-19 ได้ตลอดเวลา ซึ่งบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่เสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 สำหรับในประเทศไทยตอนนี้ จากข้อมูล ณ 25 มีนาคม 2563 ได้สอบสวนโรคและพบว่าสถานที่เสี่ยงที่มีผู้ติดเชื้อไปร่วมงานหรือเข้าไปทำกิจกรรม มีดังนี้ (ที่มารูปภาพ : เอกสารเผยแพร่ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เมื่อ 25 มีนาคม 2563) จากข้อมูลรูปภาพของกระทรวงสาธารณสุขจะพบว่า แหล่งสนามมวย สนามชนไก่ และสถานบันเทิง เป็นสถานที่ที่แพร่กระจายเชื้อได้เยอะและเป็นวงกว้าง เนื่องจากเป็นสถานที่แออัด มีการรวมตัวของสังคมเยอะ และระหว่างทำกิจกรรมมีการตะโกน เชียร์ ที่ทำให้เกิดการฟุ้งกระเด็นของสารคัดหลั่งน้ำลายออกมา ต่อมาจะเป็นขนส่งสาธารณะที่มีจำนวนสถานที่ไม่น้อยไปกว่าสนามมวย สนามชนไก่ และสถานบันเทิง - ขนส่งสาธารณะ คือ รถเมย์ รถบัส รถมินิบัส รถตู้ แท็กซี่ และเครื่องบิน นับว่าเป็นแหล่งเพาะเชื้อที่รอให้คนมาสัมผัสและเคลื่อนย้ายออกไปสู้จังหวัดรอบประเทศไทย ดังนั่นกลุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อ COVID-19 คือ เป็นบุคคลที่ร่วมสังคม หรือไปสถานที่ที่มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น สนามมวยเข้าร่วมดูมวยในวันที่ และเวลาเดียวกัน หรือถ้าขึ้นรถตู้โดยสารเที่ยวเดียวกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 ก็นับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากว่าในรถตู้สามารถแพร่เชื้อได้โดยการที่คนติดเชื้อไอ จาม มีสารคัดหลั่งน้ำลายออกมา แล้วไปกระเด็นตามมือจับ ตามเบาะ หรือแม้แต่อาหาร โดยระยะตามข้อมูลที่มีจะอยู่ที่ระยะ 2 เมตร ที่เชื้อไวรัสจะสามารถกระเด็นไปได้ เมื่อกลุ่มเสี่ยงเอามือไปสัมผัสตรงที่มีสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ แล้วนำมาขยี้ตา มากินอาหาร โดยที่ไม่มีการล้างมือก่อน ก็ถือว่าเป็นการนำเชื้อ COVID-19 เข้าร่างกายไปอย่างง่ายดาย เป็นบุคคลที่เข้าไปสัมผัส ใกล้ชิด กับกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อ COVID-19 อีกที เพราะว่า กลุ่มเสี่ยง คือ ผู้ที่อาจมีเชื้อ COVID-19 ในร่างกาย แต่ยังไม่แสดงอาการทางร่างกายออกมา เช่น ยังไม่มีไข้ ยังไม่ไอ ยังไม่เจ็บคอ ยังไม่มีเสมหะ เป็นต้น แต่ในขณะที่เชื้อ COVID-19 กำลังฟักในปอดของตัวเรา มันสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปได้หากมีการสัมผัสสารคัดหลั่งด้วยกัน เช่น กินน้ำแก้วเดียวกัน กินข้าวร่วมกันในโต๊ะเดียวกัน การป้องกันตนเองในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 (ที่มารูปภาพ : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เมื่อ 16 มีนาคม 2563) การป้องกัน COVID-19 ที่ดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ก็คือ "การไม่ไปรับเชื้อและการไม่ไปแพร่เชื้อ" ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้ ไม่ไปเข้าร่วมสังคม หรือไปในสถานที่ที่มีการรวมตัวของประชากรที่หนาแน่น เนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อ จึงเป็นที่มีให้มีมาตรการกักตัวเองอยู่บ้าน 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังสังเกตอาการ ไม่ไปแพร่เชื้อให้กับสังคมและคนใกล้ชิด การหมั่นล้างมือบ่อย ๆ ก่อนนำมือไปจับบนใบหน้า ซึ่งต้องมือให้ทั่ว 7 ขั้นตอน เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที จึงจะทำให้การชะล้างและฆ่าเชื้อโรคดีและสะอาดที่สุด ใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า เพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อโรคจากเราไปหาคนอื่น และจากคนอื่นเข้ามาหาเรา ซึ่งหน้ากากอนามัยสามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง หากต้องไปอยู่ใกล้กับผู้ติดเชื้อในระยะน้อยกว่า 1 นาที เป็นเวลามากกว่า 5 นาที ต้องแนะนำให้ใส่เป็น N95 แทน เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันที่ได้มากที่สุด สังเกตอาการของตนเองอย่างมีสติแต่ไม่ตระหนก คือ สังเกตว่ามีไข้มากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส มีอาการไอแห้ง ๆ แบบติดต่อกัน มีอาการเจ็บคอ มีเสมหะในลำคอ รู้สึกมีปัญหาทางด้านระบบทางเดินหายใจหรือไม่ หากพบว่ามีอาการร่วมกับการมีประวัติไปในพื้นที่เสี่ยงมา ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือโทรไปที่เบอร์สายด่วนกรมควบคุมโรค คือ 1422 เพื่อเข้าสู่ระบบการคัดกรองและตรวจหาเชื้อ COVID-19 ต่อไป ถ้าคนไทยมีสติ ป้องกันตนเองตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข เราจะปลอดภัยและผ่านวิกฤต COVID-19 ไปได้ด้วยดี