สำหรับคนที่เป็นคอหนัง คำว่า Coming of Age คงเป็นคำสั้น ๆ ที่อธิบายในตัวเองได้อย่างชัดเจน ว่าคืออะไร ส่วนตัวผู้เขียนชอบที่จะดูภาพยนตร์ หรือ ซีรีส์ที่เป็นแนว Coming Of Age เพิ่งจะสังเกตเห็นชัด ๆ ว่าชอบสไตล์นี้น่าจะเป็นตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ หนังที่ว่าด้วยการค้นหาตัวเองของ วัยรุ่นที่กำลังจะก้าวผ่านไปสู่การต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่บางครั้ง สำหรับบางคนมันอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย หรืออันที่จริงมันอาจจะเกิดขึ้นเป็นปัจจัยเล็ก ๆ เล็กเสียจนเราไม่ทันได้รู้สึกเท่านั้นเอง วันนี้เลยคิดว่าอยากนำเรื่องราวของภาพยนตร์ และซีรีส์ที่เป็นไปในรูปแบบของ Coming Of Age มาเขียนถึงเสียหน่อย ถ้าผ่านมาเห็นบทความนี้แล้วรู้สึกว่า ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะ ก็อยากให้ลองไปหามาดูกันค่ะ อย่าลืมความรู้สึกของช่วงวัยนั้นไป ลองคิดตามสักนิด แล้วเราอาจจะเข้าใจได้ว่า การเป็นวัยรุ่นมันไม่ได้มีแค่เรื่องสนุกอย่างที่คิดถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้คงไม่ได้ ส่วนตัวไม่เคยดูซีรีส์แนว วาย อื่น ๆ อย่างจริงจังมาก่อน แต่สัมผัสได้ว่า ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เราฟินจิกหมอนไปตามแต่ละฉากที่มีความน่ารักของนักแสดงหลัก แต่ต้องยอมรับเลยว่าการเล่นประเด็นเล็ก ๆ ของชีวิตช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 6 อย่างการทะเลาะกันกับเพื่อนสนิทยืดเยื้อมาจนไม่คุยกันหลายปี หรือกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ จนมีชื่อแก๊ง การได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ก็ชวนให้ถวิลหาความรู้สึกแบบเด็ก ๆ ที่เรามักจะใช้อารมณ์ปะทะกันมากกว่าเหตุผล หรือแม้แต่เป็นช่วงเวลาที่เราอาจจะค้นพบตัวเองว่าที่จริงแล้วเราอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ถ้ามองผ่าน ๆ ภาพจากซีรีส์ในตอนนี้ อาจจะดูไม่มีอะไร แต่ถ้าสังเกตให้ดี อาจจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่นัยยะที่ซ่อนอยู่ผ่านสีที่เลือกใช้ เคสโทรศัพท์ เสื้อผ้า สีของตุ๊กตา โดยธรรมชาติเรามักจะนึกถึงการแบ่งเรื่องเพศ เด็กผู้ชายสีฟ้า เด็กผู้หญิงสีชมพู หรือเรามักจะแทนผู้หญิงด้วยสีแดง ซึ่งร้อนแรงเต็มไปด้วยการใช้อารมณ์ ส่วนผู้ชายเรามักจะนึกไปถึงโทนสีที่ขรึม แสดงถึงความนิ่ง สงบด้วยโทนสีน้ำเงิน ในทุก ๆ ตอน แสง สีที่เลือกสื่อ ออกมาในซีรีส์ เหมือนทุกอย่างผ่านการคิดมาหมดจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพียงซีรีส์ที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้เราได้ติดตามนักแสดงเท่านั้น เสน่ห์ของซีรีส์อยู่ที่ความว้าวุ่นใจของตัวละคร ความไม่แน่ใจ ความปวดร้าวที่สุดท้ายต้องมีคนที่เจ็บปวดจากการเลือก คิดว่าหลาย ๆ คนคงได้ดูจนจบและพร้อมจะรอดู ซีซั่น 2 กันแล้ว ฉากที่ทำให้ จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลไม่รู้ตัวตาม โอ้เอ๋ว (พีพี) ในเรื่องไป คือตอนที่ โอ้เอ๋ว ถามพ่อ แม่ ว่าภูมิใจในตัวลูกไหม ? ในฐานะลูกพอดูช่วงนี้ ก็ทำให้ย้อนนึกไปถึงหลายอย่างในช่วงเวลานั้น ที่ทำให้เกิดคำถามกับตัวเราเองเช่นกันว่า ที่เราทำไป พ่อ แม่ ภูมิใจกับเราบ้างไหมนะ ? ที่เราทำไปนับเป็นความสำเร็จได้บ้างไหมนะ ? ยังไงก็ลองเปิดใจดูซีรีส์วัยรุ่น เรื่องนี้กันดูนะคะในปัจจุบันในสังคมออกมายอมรับกันมากขึ้น ในเรื่องของภาวะซึมเศร้า โรคซึมเศร้า ซึ่งหลายครั้งที่เกิดจากความคาดหวังของคนรอบข้างสร้างความกดดันโดยไม่รู้ตัวต่อเด็ก วัยรุ่น หรือแม้แต่ในวัยทำงาน ภาวะกดดันภายใต้คำพูดที่ว่า อยากให้เรามีอนาคตที่ดี และเมื่อมีแนวคิดในกรอบของคำว่าลูก แน่นอนว่าเราย่อมได้แค่เพียงยิ้มรับ แล้วเก็บไว้โดยที่เราอาจจะเก็บมันไว้ ฝังเอาไว้ลึกจนแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่แค่อยากจะมีความสุขเหมือนคนอื่นทำไมมันยากขนาดนี้ แค่ยิ้มให้ตัวเราเองในกระจก รู้ตัวอีกทีก็ยิ้มไม่ออกเสียแล้วถ้าหากใครได้มีโอกาสดูซีรีส์ ชื่อ SOS สเกต ซึม ซ่าส์ มาบ้าง เป็นอีกเรื่องที่ผู้กำกับค่อนข้างจะเลือกสีสัน Mood แม้แต่ชื่อตัวละคร มาอย่างดีเช่นกัน บู ชื่อจริงคือ บูรณะ ของตัวละครหลัก อธิบายในตัวได้ทันทีว่า นอกจากจะต้องการ การบูรณะแล้ว บู จริง ๆ ส่วนตัวนึกถึงเสียงร้องไห้ในการ์ตูนของฝรั่งแบบ Boo Boo หรือแม้แต่การพ้องเสียงกับคำว่า Blue ซึ่งถ้าเจาะลึกลงไปในจิตวิทยาของสีนั้น Blue นอกจากจะแทนชื่อของสีแล้ว ยังสื่อถึงความรู้สึกเศร้าอีกด้วย ซึ่งในเรื่อง บู ซึ่งอยู่ในช่วงวัยที่ควรจะสดใส ร่าเริง ได้ใช้ชีวิตมัธยมปลาย เหมือนเด็กทั่วไป เขากลับต้องแบกรับความกดดันจากที่บ้าน กดดันตัวเอง ประโยคที่ บู เขียนดูเป็นคำธรรมดา แต่ถ้าหากผู้ที่มีภาวะเป็นโรคซึมเศร้า ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ แนะนำจริง ๆ ว่าไม่ควรดูคนเดียว ย้ำว่าไม่ควรดูคนเดียวจริง ๆ เพราะเป็นซีรีส์ที่เล่าถึงอาการ ความรู้สึก การตัดสินใจผ่านตัวละครออกมาได้สมจริงมาก ๆ อย่างน้อยควรจะมีเพื่อนที่เข้าใจนั่งดูซีรีส์เรื่องนี้ไปด้วยกัน หรือถ้าได้นั่งดูด้วยกันกับผู้ปกครอง ก็คงจะดีมาก ๆ เลยทีเดียวนอกจากได้ทำความเข้าใจความกดดันที่ รอบข้างสร้างขึ้นโดยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี แล้วพูดกับเราว่า เด็กสมัยนี้ ทนรับความเครียดกันไม่ได้เลย ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะเราเลือกที่จะรับ รับ รับ และเก็บเอาไว้ ไม่แสดงออก ไม่ต่อต้าน คำสอนบางอย่างซึ่งเรารับฟัง ทำตามจนรู้สึกตัวอีกครั้ง ภายในใจเรามันบอบช้ำ เสียเลือด เป็นบาดแผลที่มองไม่เห็นไปแล้วจนรู้ตัวอีกที เมื่อมันระเบิดออกมา ระบายออกมาถ้าคนรอบข้างไม่เข้าใจก็ยิ่งเป็นความเจ็บปวด หลายครั้งที่วัยรุ่นต้องต่อสู้เพียงลำพัง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเพื่อน ครอบครัว คนรักเป็นกำลังใจ ถ้าใครที่มีคนใกล้ตัวดูเหมือนว่าจะมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า อย่ามองข้ามเลยนะคะ เพียงแค่ใครสักคนนั่งฟังก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วค่ะ บางครั้งการจะก้าวผ่านจากวัยหนึ่ง ไปสู่อีกช่วงวัยนอกจากการเรียน หรือเรื่องความรักแล้ว มีไม่น้อยที่ต้องสู้กับความเครียด ความกดดันในใจ เป็นซีรีส์ ที่ส่วนตัวมองว่าเป็น Coming Of Age ที่เจ็บปวดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียวค่ะทางซีรีส์ หรือภาพยนตร์ด้าน Coming Of Age ส่วนมากเราจะเห็นจนคุ้นตาจากทาง งานสร้างของต่างชาติเสียมากกว่า The Perk Of Being A Wall Flower ชื่อถ้าแปลเป็นภาษาไทยให้ เข้าใจได้ง่ายที่สุดคงจะยาก แต่บอกได้เพียงว่าเป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนความอึดอัด ความกระอักกระอ่วน และความรู้สึกว่าอยู่ผิดที่ผิดทางในช่วงเวลาของการเป็นวัยรุ่นได้ชัดเจนที่สุด อาจจะด้วยสังคมของวัยรุ่นต่างชาติมีความต่างจากของเราพอสมควร เด็กมัธยม 4 ถึง 6 เวลาที่เจอกันมีมากกว่า เช่นวิชาเรียน หรือช่วงพักกลางวัน แม้แต่การไปปาร์ตี้ตามบ้านเพื่อนร่วมชั้น ทำให้ช่องว่างระหว่างชั้นปีไม่เหมือนเรา การไม่รู้ว่าที่ของตัวเองอยู่ตรงไหนในสังคม บางทีมันจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดมาก และยิ่งรวมกับการมีปมในใจ ตั้งแต่วัยเด็ก ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในใจ เป็นภาพยนตร์ที่ชอบมาก ๆ อีกเรื่องหนึ่งแม้ไม่ต้องพูดอะไรให้ชัดเจนแต่เราดูแล้วสามารถรู้สึกตามตัวละครหลักได้ไม่ยากค่ะภาพยนตร์เมื่อปี 2010 It's Kind Of A Funny Story บอกเล่าเรื่องราวของ เครค เด็กมัธยมอายุ 16 ปี วัยรุ่นที่น่าจะเป็นคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งและแถมครอบครัวช่างดูอบอุ่น พ่อที่มีงานมั่นคง แม่ที่พยายามทำความเข้าใจลูกตลอด น้องสาวที่น่ารัก แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอยากจะฆ่าตัวตายตลอดเวลา จนเช้าวันหนึ่งที่เขาตัดสินใจปั่นจักรยานไป แผนกฉุกเฉินในเช้าวันอาทิตย์ เข้าพบแพทย์และเขาก็สารภาพว่า เป็นโรคซึมเศร้าและหยุดทานยาเองมา 3 เดือนแล้ว เขารู้ตัวดีว่า จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้อยากตาย แต่เพียงแค่เขาไม่เข้าใจว่าจะระบายความรู้สึก ความกดดัน ความเครียด ที่มีออกมาอย่างไร บางคนดูแล้วอาจจะรู้สึกว่ามันดูเนิบนาบกว่าที่คิด แถมพระเอก นางเอก ได้เจอกัน พูดคุยกันแทบจะไม่กี่ฉาก แต่การดูเรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้ว่า บางทีชีวิตการเป็นวัยรุ่น เราก็แค่ Live ใช้ชีวิต และBreath หายใจ เท่านั้น เพราะเราเองที่รู้ดีที่สุดว่า เราไม่สามารถทำตามความคาดหวังของใครได้ตลอดเวลา บางครั้งสิ่งที่เราต้องการที่สุดก็คือ ใช้ชีวิตในแบบของเราเองหลาย ๆ ครั้ง ที่ช่วงเวลาวัยมัธยมเราจะถูกมองว่าไร้สาระ เด็ก ได้มากที่สุด แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้เรียนรู้มากที่สุดก่อนออกไปใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยเช่นกัน ได้ทำกิจกรรมในโรงเรียน ได้ใช้เวลากับเพื่อน บางคนอาจจะอกหักครั้งแรก มีความรักครั้งแรก หรืออาจจะต้องผ่านเรื่องอื่น ๆ มากมาย แต่บางครั้งอันที่จริงแล้วความเจ็บปวดก็คงเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้เราเติบโตขึ้น เพราะเมล็ดไม่สามารถจะงอก และฝ่าขึ้นมาพบกับอากาศ และโลนเหนือผิวดินได้ ถ้าไม่ผลักให้เปลือกที่หุ้มเราเอาไว้แตกออกมา ทุกความเจ็บปวด ทุกรอยยิ้ม ทุกน้ำตาที่เสียไป คือการเรียนรู้ เวลาที่ยิ่งผ่านไปเมื่อโตขึ้นเราจะพบว่า ตัวเราอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร และสุดท้ายความเจ็บปวดที่ผ่านมาทั้งหมดอาจเกิดขึ้นเพื่อให้เราพบความสวยงามรอบตัว เมื่อเราเช็ดน้ำตา แล้วก้าวต่อไป อนาคตอย่าลืมว่าเราตอนวัยรุ่นเป็นอย่างไร ทุกช่วงวัยเราเคยผ่านช่วงเวลา Coming Of Age มาก่อนดังนั้น ไม่มีเรื่องใดที่ไร้สาระเกินไป อาจไม่มีเรื่องใดที่เจ็บปวดเกินทน และบางครั้งเราก็ควรแสดงออก ระบายมันออกมา ปลดปล่อยเป็นตัวเอง ที่สร้างสรรค์เพื่อที่สักวันเมื่อเรามองย้อนกลับไป เราจะสามารถบอกตัวเองได้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น เราเอง ก็เจ๋ง พอตัวเลยนะที่ผ่านมันมาได้ เก็บความรู้สึกนั้นไว้และ อย่ามองข้ามความรู้สึกของเด็ก ๆ ในชีวิตรอบตัวเรา อย่าทำให้เขากลัวเกินกว่าที่จะพูดคุยกับเรา อย่ากลัวที่จะต้องพูดคุยกับคนที่อายุมากกว่าเป็นสิบปี หรือ คนที่อายุน้อยกว่าเป็นสิบ ๆ ปี เพราะถ้าเราสามารถเข้าใจ ผู้คนในแต่ละยุคสมัยได้ มันเป็นเรื่องที่สุดยอดเลยทีเดียว เพราะการ Coming of Age ของแต่ละคนย่อมต่างกันแต่ไม่มีอะไรที่แปลกเกินไปแน่นอน Credit ภาพArticle Cover Photo / แปลรักฉันด้วยใจเธอ / แปลรักฉันด้วยใจเธอ 2 / แปลรักฉันด้วยใจเธอ 3 / แปลรักฉันด้วยใจเธอ 4ProjectS SOS / ProjectS SOS 2 / The Perk Of Being A Wall Flower / t's Kind Of A Funny Story