ตรงข้ามตึกมหานคร, ระหว่างนั่งรอเพื่อนเลิกงาน, แก้มผมซูบตอบจากการพยายามดูดไข่มุกขึ้นจากก้นแก้วชา ชาในแก้วเป็นสีน้ำตาล มีเม็ดมุกสีดำอยู่ก้นแก้ว ข้างบนโรยด้วยฝอยสีเหลือง ชื่อในเมนูคือ "ชาไข่มุกไข่เค็ม" ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดทั้งจากรสชาติที่ไม่เข้ากัน และจากความรู้สึกที่ว่าผมกำลังอยู่ในห้วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยที่ไข่เค็มสามารถเป็นส่วนผสมของทุกสิ่ง ชาไข่มุกเองก็กำลังเป็นกระแสนิยมพอ ๆ กันกับไข่เค็ม มีร้านให้เห็นเกลื่อนตา บางร้านต้องต่อแถวกันยาว หรือในแอพสั่งอาหารก็ถึงกับมีหมวดหมู่ชาไข่มุกเป็นของตัวเอง เรียกว่าเป็นการกลับมาเกิดอีกรอบจะถูกกว่า ผมจำได้ว่าสมัยยังเด็ก ห้วงราว ๆ ต้นยุคมิลเลนเนียม แก้วชาไข่มุกทรงสูงยาว คอดตรงกลาง เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวัยรุ่นเซนเตอร์พอยต์เลยทีเดียว เราเรียกมันว่า “ชานมไข่มุกไต้หวัน” บ่งบอกสัญชาติให้กับอาหารอารมณ์เดียวกับเนื้อย่างเกาหลี ภาพจากเซ็นเตอร์พอยต์นั่นเห็นจากโทรทัศน์ แต่มันไม่ได้ฮิตแค่ในเมืองหลวง ชนบทชายแดนแม่น้ำโขงภาคอีสานแถวบ้านผม ก็มีแผงลอยขายชาไข่มุกแบบบ้าน ๆ ให้เห็นกันเกลื่อน รูปทรงแก้วอาจจะไม่ได้ดูล้ำยุคดูมิลเลนเนียมเหมือนในกรุงเทพฯ แต่หลอดอ้วน ๆ นั่นแทรกซึมกันไปในระดับทุกหมู่บ้าน ทำไมชาไข่มุกฟื้นคืนชีพกลับมาฮิตในไทยอีกครั้ง คำตอบเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่โตอย่างการเมืองไต้หวัน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างไต้หวันกับมหาอำนาจอย่างจีน พูดถึงชาไข่มุกกันก่อน เครื่องดื่มชนิดอายุยังไม่มาก กำเนิดที่ไต้หวันช่วงปลายคริสต์ทตวรรรษ 1980 จากการที่ร้านเครื่องดื่มร้านหนึ่งนำเอาชานม เม็ดแป้งมันสำปะหลัง และน้ำแข็งไส มารวมเข้าด้วยกันเป็นเครื่องดื่มชนิดใหม่เรียกว่า "Bubble Tea" หรือ "Boba Tea" จากนั้นเจ้าเครื่องดื่มชนิดนี้ก็แพร่หลายทั่วประเทศ จากกระแสนิยมชั่วครั้งคราว กลายเป็นความถาวร เป็นเหมือนเครื่องดื่มประจำชาติของไต้หวัน และขยายไปทั่วโลกอารมณ์เดียวกับที่เรามีต้มยำกุ้งเป็นของขึ้นชื่อ และก็เช่นเดียวกับต้มยำกุ้งของไทย ชาไข่มุกเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติอย่างหนึ่งของไต้หวันไปกลาย ๆ ทำไมชาไข่มุกกลับมาฮิตในไทยอีกรอบ? ชาไข่มุกเหมือนจะเป็นเครื่องดื่มที่พ้นสมัยไปแล้ว ถูกกระแสเครื่องดื่มชนิดอื่นกลบไปเสียนาน แต่ 2-3 ปีมานี้ชาไข่มุกกลับไปเป็นกระแสในไทยอีกครั้ง อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่ในไทย เพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็นิยมเช่นกัน ถ้าจำกันได้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 ร้านชาไข่มุก Bobaism ในฟิลิปปินส์เป็นข่าวในไทยหลังจากเปิดตัวสาขาใหม่ พร้อมชาไข่มุกในแพจเกจจิงโคตรฉลาดล้ำเป็นรูปปมพระเกศาของพระพุทธเจ้า แล้วยังมีพระพุทธเจ้าพระองค์สีทองเป็นมาสคอตของร้านเต้นเด้ง ๆ เรียกลูกค้าอีกต่างหาก การกลับมาของชาไข่มุกในคราวนี้ ต้นเหตุส่วนหนึ่งไล่เรียงไปได้ถึงความขัดแย้งระหว่างไต้หวันกับจีน เล่าปูพื้นก่อนนิดหนึ่งว่าไต้หวันถือกำเนิดจากการที่เจียง ไคเช็ก รบแพ้พรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงหนีไปอยู่ไต้หวัน ปัจจุบันไต้หวันถือตัวเองว่าเป็นประเทศในชื่อ "สาธารณรัฐจีน" แต่จีนเห็นว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แม้โดยความเป็นจริงจีนจะไม่สามารถใช้อำนาจใด ๆ ในขอบเขตดินแดนของไต้หวันได้เลย ความสัมพันธ์ไต้หวัน-จีนระหองระแหงมาโดยตลอด แต่ก็ดีขึ้นมากในยุคประธานาธิบดีหม่า อิงจิว ของพรรคก๊กมินตั๋ง (ดำรงตำแหน่งปี 2008-2016) ที่เคารพฉันทามติ 1992 (1992 consensus) สาระสำคัญของฉันทามติดังกล่าวคือไต้หวันกับจีนเห็นพ้องกันว่าจีนมีจีนเดียว แผ่นดินจีนกับไต้หวันเป็นประเทศเดียวกันแบ่งแยกกันมิได้ แต่ยังให้คำนิยามไปคนละแบบ คือไต้หวันถือว่ารัฐบาลสาธารณรัฐจีนของตนเป็นเจ้าของแผ่นดินจีนทั้งหมดรวมทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนจีนนิยามว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนของพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับจีนแบบที่จีนพอใจคือรักษาสภาพเช่นนี้ไปก่อน (status quo) เพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่สามารถใช้กำลังยึดไต้หวันที่มีสหรัฐฯ หนุนหลังได้ แต่ก็ไม่ยอมเด็ดขาดหากไต้หวันจะประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ เมื่อ น.ส.ไช่ อิงเหวิน จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party) ซึ่งเป็นพรรคที่มีนโยบายสนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวันชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่เมื่อปี 2016 จีนก็ระแวงขึ้นมาทันที ยิ่งเมื่อประธานาธิบดีไช่ไม่ได้ประกาศว่ายอมรับฉันทามติ 1992 จีนยิ่งโกรธเกรี้ยว จีนตอบโต้ไต้หวันด้วยการใช้พลังอำนาจทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะการตัดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะไปเที่ยวไต้หวัน นอกจากนั้นยังส่งเรือรบกับเครื่องบินรบไปป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ หรือเข้าไปในน่านน้ำกับน่านฟ้าไต้หวัน และจัดการซ้อมรบแสดงแสนยานุภาพใกล้ ๆ ไต้หวันอีกต่างหาก รัฐบาลไช่ อิงเหวิน ต้องพยายามเอาตัวรอดในสภาวะที่ถูกจีนกดดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้เศรษฐกิจไต้หวันพึ่งพาจีนเป็นอย่างมาก ทางรอดทางเดียวคือต้องมีนโยบายต่างประเทศที่ดี เพื่อแสวงหาพันธมิตรที่จะช่วยให้ไต้หวันเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจได้ ดังที่กล่าวแล้วว่าจีมเคลมไต้หวันว่าเป็นส่วนหนึ่งของตนภายใต้หลักการจีนเดียว และเกือบทุกประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทยก็ยึดมั่นตามจีน ปัจจุบันไต้หวันเหลือพันธมิตรที่รับรองไต้หวันเป็นประเทศและมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันเพียง 15 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งนั้น (มีถึง 7 ประเทศที่ตัดความสัมพันธ์กับไต้หวันในยุคประธานาธิบดีไช่ เป็นผลจากการกดดันของจีน ได้แก่ เซาโตเมและปรินซิปี ปานามา สาธารณรัฐโดมินิกัน บูร์กินาฟาโซ เอล ซัลวาดอร์ หมู่เกาะโซโลมอน และคิริบาติ) ดังนั้น ไต้หวันไม่สามารถแสวงหาพันธมิตรผ่านการทูตอย่างเป็นทางการได้ ทางเลือกที่ประธานาธิบดีไช่เลือก คือสร้างพันธมิตรผ่านยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและการค้า ชื่อว่า “New Southbound Policy” (ทางการไต้หวันแปลเป็นภาษาไทยว่า นโยบายมุ่งใต้ใหม่) New Southbound Policy คือนโยบายของไต้หวัน ที่มุ่งกระชับความสัมพันธ์กับ 18 ประเทศใน 3 ภูมิภาคทางตอนใต้ของไต้หวัน ได้แก่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศ (ไทย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม) เอเชียใต้ 6 ประเทศ (อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ศรีลังกา และภูฏาน) และออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์ โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากศักยภาพของไต้หวันในสาขาต่าง ๆ เช่น วัฒนธรรม การศึกษา เทคโนโลยี เกษตรกรรม และเศรษฐกิจ พิจารณาจากนโยบายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน (people to people exchange) ระหว่างไต้หวันกับประเทศทางใต้คือสิ่งหนึ่งที่ไต้หวันคิดอยากจะทำ ซี่งมิติที่มีส่วนสำคัญให้เกิดการแลกเปลี่ยนคือการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม สิ่งที่ผมเรียกเอาเองว่าการทูตชาไข่มุก (Bubble Tea Diplomacy) มีบทบาทก็ตรงนี้ นิยามของการทูตในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือการเป็นตัวแทนของรัฐในการดำเนินความสัมพันธ์กับรัฐอื่น ทูตที่เราเห็นคุ้นตามีสภาพเป็นคน เป็นนักการทูตในสถานทูตต่าง ๆ แต่หน้าที่ทูตไม่จำเป็นต้องเป็นคนเสมอไป แพนด้าที่เชียงใหม่นั้นก็มีสถานะเป็นทูตของจีน ที่เรียกว่า “panda diplomacy” เป็นตัวแทนของจีนในการเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับรัฐอื่น ทูตที่ไม่ใช่คนก็ย่อมพูดไม่ได้ แต่สามารถส่งสารได้เหมือนกับคน หากสารที่มันส่งผ่านการตีความของผู้รับสารแล้วความหมายออกมาในแง่ดี ก็เป็นผลดีต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศในระดับประชาชน หรืออาจเลยไปถึงการสร้าง soft power (อำนาจที่เกิดจากการสร้างเสน่ห์จนสามารถชี้นำการตัดสินใจ) ตัวอย่างเช่น ผมชอบการ์ตูนญี่ปุ่น ก็ทำให้ผมมีทัศนคติที่ดีต่อประเทศญี่ปุ่นไปด้วย ไทยเป็นประเทศเป้าหมายประเทศหนึ่งของไต้หวัน มีชาไข่มุกเป็นกำลังหลักอย่างหนึ่งในบทบาทของทูตเผยแพร่วัฒนธรรมไต้หวันในไทย วัดด้วยตาก็คือจำนวนร้านชาไข่มุก ถ้าจะวัดด้วยตัวเลข ตลาดชานมไข่มุกในไทยมีมูลค่าถึงประมาณ 2,500 ล้านบาท ดื่มที่ไทยแล้วก็ต้องมีบ้างที่อยากไปสัมผัสของต้นตำรับที่ไต้หวันด้วย ลองเสิร์ชกูเกิลดูจะเห็นว่ามีบทความหรือกระทู้ประเภท “10 อันดับชาไข่มุกไต้หวันที่ต้องไปโดน” อยู่มากมาย ประกอบกับมาตรการหนึ่งของ New Southbound Policy ที่ยกเว้นวีซ่าให้คนไทยด้วย คนไทยเลยไปไต้หวันกันเยอะขึ้นสมใจประธานาธิบดีไช่ ไตรมาสแรกของปี 2562 นักท่องเที่ยวไทยไปไต้หวันถึง 140,925 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 เลยทีเดียว (แต่นักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศทางใต้ทั้งหมดก็ยังชดเชยที่ขาดหายไปจากจีนประเทศเดียวไม่ได้อยู่ดี) ไต้หวันไม่ค่อยมีเพื่อน จีนไปกดดันให้เพื่อนเลิกเล่นกับไต้หวันแทบจะหมดโลกแล้ว “ชาไข่มุก” หวาน ๆ นี่แหละครับที่ช่วยสร้างตำแหน่งแห่งหนให้กับไต้หวันในเวทีโลก รูปภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน