ภาษาอังกฤษที่เราใช้พูดกันในชีวิตประจำวันนั้นมีอยู่สองแบบคือ แบบอังกฤษ British English และอเมริกัน American English ซึ่งส่วนมากจะแตกต่างกันในเรื่องของคำศัพท์หลายคำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่การเขียนและสะกดคำนั้นมีความแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น: คำว่า แรงงาน หากเป็นแบบอเมริกันก็จะสะกดว่า labor แต่การเขียนแบบบริติชก็จะสะกดว่า labour เป็นต้น โดยบางคนอาจจะยังสับสนพอเจอคำศัพท์ว่าเรานั้นกำลังใช้ภาษาอังกฤษแบบไหน สำหรับบทความนี้จึงนำเสนอคำศัพท์แบบอังกฤษ British และอเมริกัน American ที่ควรรู้เพื่อให้สามารถเข้าใจความหมายเมื่อพบคำศัพท์เหล่านั้นในชีวิตประจำวันและสามารถแยกความแตกต่างของภาษาอังกฤษแต่ละแบบได้ ซึ่งทำให้เราสามารถนำไปใช้ต่อยอดในการพูดเพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่สับสนกันนะคะ ตัวอย่างคำศัพท์เปรียบเทียบระหว่าง British English VS. American Englishจุดสังเกตที่น่าสนใจของความแตกต่างภาษาอังกฤษแบบ British English และ American English มีความแตกต่างด้านการเขียนและตัวสะกดที่น่าสนใจ ซึ่งเกิดจากความแตกต่างของรากภาษาที่มาจากภาษาละติน และภาษากรีก จึงทำให้การสะกดคำของทั้ง 2 แบบแตกต่างกัน จุดสังเกตความแตกต่างคู่คำศัพท์และตัวสะกด ดังต่อไปนี้ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -oe-/-ae- (e.g. anaemia, diarrhoea, encyclopaedia)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -e- (e.g. anemia, diarrhea, encyclopedia) ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -t (e.g. burnt, dreamt, leapt)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -ed (e.g. burned, dreamed, leaped) ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -ence (e.g. defence, offence, licence)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -ense (defense, offense, license) ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -ell- (e.g. cancelled, jeweller, marvellous)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -el- (e.g. canceled, jeweler, marvelous) ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -ise (e.g. appetiser, familiarise, organise)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -ize (e.g. appetizer, familiarize, organize) ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -l- (e.g. enrol, fulfil, skilful)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -ll- (e.g. enroll, fulfill, skillfull) ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -ogue (e.g. analogue, monologue, catalogue)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -og (e.g. analog, monolog, catalog)*Note ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันยังมีการใช้คำที่สะกดด้วย –ogue ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -ou (e.g. colour, behaviour, mould)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -o (e.g. color, behavior, mold) ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -re (e.g. metre, fibre, centre)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -er (e.g. meter, fiber, center) ภาษาอังกฤษแบบ British English จะลงท้ายด้วยคำว่า -y- (e.g. tyre)ภาษาอังกฤษแบบ American English จะลงท้ายด้วยคำว่า -i- (e.g. tire) จะเห็นได้ว่า นี่เป็นทริคง่ายๆ ที่ช่วยให้สามารถแยกภาษาอังกฤษของทั้งสองประเทศนี่ออกจากกันได้ง่ายๆ ไม่สับสนอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการออกเสียงหรือสำเนียงที่มีความแตกต่างกันของภาษาอังกฤษทั้งสองแบบอย่างแน่นอน แต่ว่าถ้าใครที่อยากจะเชี่ยวชาญให้มากขึ้น หรือเข้าถึงแก่นแท้ของทั้งสองภาษาอังกฤษทั้งสองแบบให้มากขึ้น อาจจะเริ่มต้นการฝึกฟังสำเนียงจากการดูหนัง ดูซีรีส์ ใช้แอปพลิเคชันภาษาอังกฤษ หรือฝึกฟังสำเนียงจากสื่อที่เราชอบที่มีสำเนียงภาษาอังกฤษในแต่ละประเทศนั้นๆ ตามที่เราต้องการจะฝึกโดยเริ่มจากการฝึกฟังและฝึกพูดเพื่อให้เราสามารถนำความรู้และทักษะเหล่านั้นมาช่วยให้เราสามารถทำข้อสอบ หรือเลือกใช้ได้ถูกสถานการณ์มากยิ่งขึ้นนั่นเองอย่างไรก็ตาม ในขณะที่อาจมีความแตกต่างบางอย่างระหว่างภาษาอังกฤษแบบ British English และ American English ประเด็นสำคัญก็คือบางครั้งคนอังกฤษและอเมริกันก็ใช้ภาษาอังกฤษทั้งสองแบบในการสนทนากันอย่างง่ายๆไม่ได้ซับซ้อนก็สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดอุปสรรคในการสื่อสารแต่อย่างใด เนื่องจากภาษาอังกฤษทั้งสองแบบมีความคล้ายคลึงกันมากขึ้น So, you don’t be too hard on yourself if you are unable to memorise the nuances of both languages.ดังนั้นหวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจภาษาอังกฤษทั้งสองแบบมากยิ่งขึ้น แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะคะHAVE A GREAT WEEKEND!