ท่ามกลางกระแสรักษ์โลกที่กำลังทำให้ผู้คนตื่นตัว พฤติกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ได้รับการผลักดันให้ฟื้นฟูแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่าที่ทำให้พื้นที่ป่าไม้ลดน้อยลง การเผาป่าที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสภาพอากาศ และที่สำคัญที่สุดคือการบุกรุกพื้นที่อุทยานเพื่อลักลอบจับสัตว์ป่า หลายคนคงรู้กันดีว่า การจับสัตว์ป่าเพื่อทำการค้าขาย เอาชิ้นส่วนมาทำเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้าน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายหน่วยงานออกมาเรียกร้องให้ทบทวนมาตรการต่าง ๆ จนทั่วโลกตระหนักถึงปัญหาและเดินหน้าออกนโยบายคุ้มครองสัตว์ป่าเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศกันอย่างจริงจังอย่างในแอฟริกา กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าทำให้อาชีพล่าสัตว์ถูกจำกัด ให้สามารถล่าสัตว์ในจำนวนที่รัฐบาลกำหนดเท่านั้น ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไปแล้วในบทความ ปกป้องผืนป่าด้วยกีฬาล่าสัตว์ แต่ไม่น่าเชื่อว่า การตื่นตัวของการคุ้มครองสัตว์ป่า ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออาชีพ หมองู (Snake Charmer) ในหลายประเทศ โดยเฉพาะอินเดีย ปากีสถาน โมร็อกโก และอีกหลายประเทศที่ผู้คนยึดถือการแสดงควบคุมงูเป็นอาชีพหลักตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งหลายคนคงรู้กันดีว่าอาชีพหมองูเป็นอาชีพดึกดำบรรพ์ สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แล้วเมื่อสังคมกำลังเรียกร้องให้สัตว์ป่าได้รับความคุ้มครอง แล้วอาชีพหมองูจะอยู่อย่างไรต่อไป เป็นเรื่องน่าสนใจที่ต้องติดตามก่อนอื่นต้องเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอาชีพหมองูกันก่อน ในบันทึกของอารยธรรมอียิปต์บนกระดาษปาปิรุส มีการกล่าวถึงอาชีพหมองูเอาไว้บางส่วน หมองูในยุคนั้นเป็นหมอที่รักษาผู้ป่วยด้วยเวทมนตร์คาถา เชื่อว่าสืบทอดเชื้อสายมาจากเทวีบูโต (Buto) ซึ่งจะใช้พิษงูในการรักษาอาการป่วยไข้ของชาวอียิปต์ ความเชื่อเหล่านี้ตกทอดมายังหลายพื้นที่ โดยเฉพาะโมร็อกโก อินเดีย และปากีสถาน ที่ถือเป็นพื้นที่ที่มีความเชื่อเรื่องการนับถืองูอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่อดีต เรียกว่าครอบครัวใดที่บรรพบุรุษประกอบอาชีพหมองูมาก่อน ก็จะมีการฝึกทายาทให้เคยชินกับงูตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกให้นอนกับงู การหยอดพิษงูใส่ปากเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน พวกเขาเชื่อว่างูจะไม่ทำร้ายสายเลือดของเผ่าพันธุ์ คนเหล่านี้จึงนับถืองูมากกว่าพ่อแม่และคู่ครองของพวกเขาด้วยซ้ำทุกวันนี้หมองูไม่ใช่หมอที่รักษาคนไข้ แต่เป็นอาชีพที่เกี่ยวกับการแสดงวัฒนธรรมเสียมากกว่า โดยพวกเขาจะจับงูจงอาง งูเห่าอินเดียมาทำการฝึกฝน แล้วหลอกล่อผู้ชมว่าสามารถควบคุมงูด้วยเสียงดนตรีได้ เครื่องดนตรีที่หมองูใช้แสดงมักเป็นปี่ แต่ความจริงการส่ายหัวส่ายหางของงูนั้นเป็นสัญชาตญาณของพวกมัน เมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาดก็จะแสดงอาการระแวดระวังตัวอยู่เสมอ ส่วนใหญ่งูพวกนี้เป็นงูเลี้ยง ถูกตัดต่อมพิษออกเพื่อความปลอดภัย แต่ก็มีเรื่องเล่าตลก ๆ จากคนรอบตัวของผู้เขียนที่เคยไปเยือนประเทศอินเดีย หลายคนสงสัยว่าหมองูมานั่งเป่าปี่แล้วจะมีรายได้ได้อย่างไร จนไปพบคำตอบว่า เมื่อการแสดงจบลง ใครที่มายืนมุงดูแล้วไม่ให้เงิน หมองูจะสั่งให้งูเลื้อยไปฉกคนนั้น จนบรรดานักท่องเที่ยววิ่งหนีกันกระเจิงแต่เมื่องูจงอางและงูเห่ากลายเป็นสัตว์ที่ต้องได้รับความคุ้มครอง อย่างในเมืองมาร์ราเกซแห่งโมร็อกโก มีการเรียกร้องให้ยกเลิกการแสดงงูของพวกหมองู เพราะงูเห่าในโมร็อกโกกำลังเข้าสู่ภาวะใกล้สูญพันธุ์ ส่วนรัฐบาลอินเดียก็เริ่มเข้มงวดกับอาชีพหมองูจากกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า มีการยึดงูและดำเนินคดีกับพวกหมองู โดยอ้างว่าเป็นการทารุณกรรมสัตว์ป่า และกำลังร่างกฎหมายให้อาชีพหมองูกระทำการแสดงได้ภายใต้การควบคุมของรัฐ เน้นไปที่การแสดงเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หมองูที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลอินเดียกำลังวางมาตรการให้พวกเขาได้ทำงานในอุทยานหรือกรมป่าไม้ เพราะคนเหล่านี้มีความรู้ทางด้านสมุนไพรอยู่ไม่น้อย ที่สำคัญในอนาคต อาชีพหมองูอาจกลายเป็นตำนานของแต่ละชาติ เป็นการแสดงที่หาดูได้ยาก เป็นมรดกทางวัฒนธรรม แต่ถ้ามองในแง่ดี พวกหมองูที่ได้บรรจุในกรมป่าไม้ก็มีอาชีพที่ดีขึ้น ส่วนงูก็ได้รับการคุ้มครอง อาศัยอยู่ในผืนป่าตามธรรมชาติ ถือว่าไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ นี่จึงเป็นคำตอบว่า ในที่สุดแล้วหมองูจะอยู่อย่างไร ในสังคมที่มีการคุ้มครองสัตว์ป่าอย่างจริงจังรูปภาพหน้าปก โดย Raul Cacho Oses : Unsplashรูปภาพประกอบที่ 1 โดย DEZALB : Pixabayรูปภาพประกอบที่ 2 โดย WikiImages : Pixabayรูปภาพประกอบที่ 3 โดย Aryavritindia : Pixabayรูปภาพประกอบที่ 4 โดย RichardMc : Pixabay