สองพี่น้องตระกูลไรท์ - Wilbur and Orville - วิลเบอร์และออร์วิลล์เป็นบุตรชายของมิลตันไรท์ บาทหลวงนักเทศน์ในศาสนาคริสต์ (ordained minister) ณ United Brethren และมารดาซูซาน แคทเธอรีน โคเออร์เนอร์ไรท์ ด้วยประวัติที่มักไม่ได้กล่าวถึง ทำให้คนส่วนมากมักจะเข้าใจว่า วิลเบอร์และออร์วิลล์ ไม่มีพี่น้องอื่น ๆ อีก – ในขณะที่ ความจริง คือ บาทหลวงมิลตันไรท์และนางซูซาน มีลูกรวมทั้งหมดถึง 7 คน [Reuchlin Wright, Lorin Wright, Wilbur Wright, Otis Wright, Ida Wright, Orville Loren Wright และ Katherine Haskell] ชีวิตวัยเด็กและครอบครัวแม้ครอบครัวจะย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง แต่ลูก ๆ ทุกคนรวมทั้ง ‘วิลเบอร์และออร์วิลล์’ ก็ได้รับการศึกษาที่ดีพอควร โดยทั้งคู่จบระดับมัธยมโรงเรียนของรัฐ ออร์วิลล์เคยกล่าวไว่ว่า เค้าได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวที่เปิดโอกาสในกล้าคิด กล้าค้นคว้าตามความอยากรู้อยากเห็น” เขาเชื่ออย่างมากว่าหากไม่ได้ถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ความอยากรู้ของเขาอาจจะไม่ได้ส่งผลสู่ความสำเร็จแบบนี้ เช่นเดียวกับพ่อของพวกเขา – เด็กทั้งคู่เป็นนักจินตนาการที่มีความคิดอิสระ มีความมั่นใจในความสามารถของตนเอง มีความเชื่อที่และความมุ่งมั่นที่ อดทนต่อความผิดหวัง คุณสมบัติเหล่านี้ เมื่อรวมเข้ากับความรู้ทางเทคนิค จึงช่วยอธิบายความสำเร็จของพี่น้องตระกูลไรท์ในฐานะนักประดิษฐ์ได้ดีอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันบุคลิกความยึดมั่นกับหลักการและความไม่ประณีประนอมของพ่อ ก็มีอิทธิพลต่อวิธีการที่พี่น้องคู่นี้ดำเนินการด้านการตลาดสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขาในเวลาต่อมา ธุรกิจสิ่งพิมพ์และผู้ผลิตจักรยานวิลเบอร์และออร์วิลล์ ไม่ได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเหมือนกับพี่ ๆ น้อง ๆ คนอื่น (นอกจากนั้นทั้งคู่ยังไม่แต่งงานด้วย) - หลังจากการตายของแม่ ออร์วิลล์ใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้ธุรกิจการพิมพ์และได้ชวนวิลเบอร์ร่วมจัดตั้งโรงพิมพ์ นอกเหนือจากบริการการพิมพ์ตามปกติแล้ว ‘สองพี่น้อง’ ยังทำหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และพวกเขายังพัฒนาและจำหน่ายระบบแท่นพิมพ์และการพิมพ์ เหล่านี้เป็นหนึ่งในข้อบ่งชี้แรก ๆ ถึงความสามารถด้านเทคนิคที่ไม่ธรรมดา รวมถึงแนวทางเฉพาะตัวการแก้ไขปัญหาและในการออกแบบ ของ ‘สองพี่น้อง’ในปี 1892 (พ.ศ.2435 - ร.5 แห่งสยาม) ‘สองพี่น้อง’ เปิดร้านขายและซ่อมจักรยาน และต่อมาพวกเขาก็เริ่มอุตสาหกรรมขนาดเล็กในการผลิตจำหน่ายจักรยาน ในปี 1896 พวกเขาพัฒนาดุมล้อจักรยานแบบใหม่ของตัวเองและผลิตเครื่องมือขนาดเล็กหลายอย่าง ธุรกิจทั้ง 2 อย่าง นอกจากสร้างรายได้และกำไรได้มากซึ่งในที่สุดก็ถูกแปลงเป็นทุนในการค้นคว้าทดลองด้านการบินของ ‘สองพี่น้อง’ ในช่วงปี 1899 ถึง 1905 แล้ว ประสบการณ์ในการออกแบบและสร้างเครื่องมือที่มีความแม่นยำและท่อโลหะเหมาะ ยังเป็นพื้นฐานที่ถูกต่อยอดไปสู่การออกแบบ ค้นคว้าและการสร้างของเครื่องบินนั่นเองความสนใจด้านการบินของ ‘สองพี่น้อง’ เริ่มจากที่พ่อของพวกเขานำเฮลิคอปเตอร์ของเล่นขนาดเล็กได้จากนักท่องเที่ยวกลับมาที่บ้าน ต่อมาพวกเขาได้อ่านงานค้นคว้าของ Otto Lilienthal - ผู้บุกเบิกเครื่องร่อนชาวเยอรมัน อย่างไรก็ตามรายงานข่าวการเสียชีวิตของ Lilienthal จากอุบัติเหตุเครื่องร่อนตกในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2439 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจอย่างจริงจังในการบิน ในปี 1899 ‘สองพี่น้อง’ ได้ทุ่มเทศึกษางานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่มีห้องสมุดท้องถิ่น และได้เขียนจดหมายไปยังสถาบันสมิธโซเนียน (Smithsonian Institution) เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้ หนังสืออ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิชาการบิน และในปีต่อไป ‘สองพี่น้อง’ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัวเอง ไปหา Octave Chanute – วิศวกรโยธาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการบินระดับชั้นนำของโลกคนหนึ่ง ณ เวลานั้นเพื่อขอคำแนะนำ ซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนและที่ปรึกษาสำคัญของ ‘สองพี่น้อง’ ในช่วงสำคัญ ระหว่างปี 1900 to 1905................................................................................................จดหมายแนะนำตัวเอง ไปหา Octave Chanute"Dear Sirs:I am an enthusiast, but not a crank in the sense that I have some pet theories as to the proper construction of a flying machine. I wish to avail myself of all that is already known and then if possible add my might to help on the future worker who will attain final success."............................................................................................... เครื่องร่อนของ ‘สองพี่น้อง’‘สองพี่น้อง’ เริ่มขบวนการเรียนรู้ ตั้งสมมติฐานและแนวทางออกแบบเครื่องบินที่แตกต่าง เมื่อค้นคว้าอย่างถี่ถ้วนแล้ว เค้าเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า เครื่องบินจะบินได้ ต้องประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ คือ 1) ต้องมีปีกที่สามารถสร้างแรงยกที่มากกว่าน้ำหนักของเครื่องบินและสัมภาระ 2) ต้องมีแรงขับเพื่อผลักเครื่องบินให้สามารถเคลื่อนที่ไปในอากาศ และ 3) ต้องสามารถควบคุมทิศทางของเครื่องบินได้ประเด็นเรื่องปีกเครื่องบินไม่ใช่ปัญหา ‘สองพี่น้อง’ เลือกที่จะเดินตามแนวทางของ Otto Lilienthal - ผู้เชี่ยวชานเครื่องร่อนชาวเยอรมัน ในขณะเดียวกันก็มอบหมายหน้าที่การออกแบบเครื่องยนต์สันดาปภายในน้ำหนักเบา ให้กับทีมงานวิศกรของตน - คงเหลือแต่เรื่องระบบบังคับควบคุมทิศทางเท่านั้นที่ ‘สองพี่น้อง’ ต้องตกผลึกออกมาให้ได้จากประสบการณ์จากจักรยาน ‘สองพี่น้อง’ ได้คอนเซ็ปท์ว่า จะให้ง่ายระบบบังคับต้องควบคุมด้วยมือทั้งสิ้น และต้องระมัดระวังเรื่องตำแหน่งของนักบิน ที่จะทำให้สมดุลย์ (CG-center of gravity) ของเครื่องบินเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลกระทบที่สำคัญ … “wing warping,” คือผลงานชิ้นแรก -วิธีการบังคับเครื่องบินโดยใช้ลวดสองชุดเพื่อควบคุมปีกแต่ละข้าง ( helical twist) หลักการคือเมื่อต้องการเลี้ยวปลายปีกทั้ง 2 ข้าง จะเอียงไปในทิศทางตรงข้าม ทำให้เมื่อด้านหนึ่งมีแรงยกมากขึ้น อีกด้านจะมีแรงยกลดลง ทำให้สามารถเลี้ยวได้อย่างอิสระและมีประสิทธิภาพช่วงปี 1989-1991 ‘สองพี่น้อง’ ออกแบบ-ทดสอบบินเครื่องร่อน ราว ๆ เกือบร้อยเที่ยวบิน เครื่องร่อนถูกปรับปรุงหลายเวอร์ชั่น เนื่องจากแรงยกจากปีกเครื่องร่อนไม่ได้มากเท่ากับค่าที่ต้องการจากทฤษฎีของ Lilienthal ทำให้ต้องปรับขนาดปีกให้ใหญ่ขึ้นมาก อีกสาเหตุคือความเร็วลมในเมือง Dayton ค่อนข้างต่ำ ทำให้ ‘สองพี่น้อง’ จำต้องย้ายสนามบินทดสอบไปยัง Kitty Hawk เมืองเล็ก ๆ ใน North Carolinaภายหลังการเข้าร่วมเป็นสมาชิก Western Society of Engineers ตามคำเชิญของ Chanute นำมาซึ่งคำแนะนำและการก่อสร้างอุโมงค์ลมเพื่อใช้ศึกษาและทดสอบแรงยกของปีกเครื่องร่อน ในปี 1901 นั้นเอง ที่ ‘สองพี่น้อง’ ได้ออกแบบและทดสอบปีกเครื่องบิน กว่า 200 แบบในอุโมงค์ลม ซึ่งทำให้มีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ เข้าใจหลักอากาศพลศาสตร์อย่างมากมายและนำมาสู่การออกแบบเครื่องร่อน ลำที่ 3 ที่สามารถบินทดสอบได้ถึง 1000 เที่ยวบิน ในช่วงปลายปี 1902 ไม่เพียงแต่เรื่องการแก้ปัญหาแรงยกจากปีกเท่านั้น ‘สองพี่น้อง’ ยังประสบความสำเร็จการออกแบบระบบพื้นบังคับ โดยเพิ่ม rudder – แผ่นกระดานควบคุมที่ติดอยู่ที่ขอบปีกหลังของแพนหางดิ่งเข้าไป อีกด้วยหลังจากแก้ปัญหาสำคัญหลักไปได้ 2 ประเด็นแล้ว เหลือเพียงเรื่องสุดท้าย ‘เครื่องยนต์’ --- ด้วยความช่วยเหลือของ Charles Taylor ช่างในโรงงานจักรยาน ‘สองพี่น้อง’ จึงได้เครื่องยนต์สองใบพัดสี่สูบสันดาบภายในเครื่องแรก เดือนกันยายน 1903 ‘สองพี่น้อง’ ย้ายกลับมาทดสอบบินโดยติดเครื่องยนต์กับเครื่องร่อนเดิมที่ Kill Devil Hills ---14 ธันวาคม - การทดสอบบินครั้งแรกโดย Wilbur เกิดความผิดพลาดบางอย่าง (Stall หรือ ภาวะร่วงหล่น) เครื่องเสียหายพอควร จนทำให้ต้องใช้เวลาซ่อมแซมถึง 3 วัน ภายหลังการซ่อม การทดสอบครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์การบินของโลกจึงเกิดขึ้น ราว 10:35 น. ของวันที่ 17 ธันวาคม 1903 Orville ประสบความสำเร็จในทำการบิน (ที่ต่อมาถือเป็นการบินเครื่องบินไฟลท์แรกของโลก) โดยสามารถบินเครื่องบิน ได้ระยะทาง 36 เมตร และอยู่ในอากาศได้นาน 12 วินาที ความมั่นใจทำให้การทดสอบบินอย่างต่อเนื่อง โดยWilbur (#1) จึงขอลองบ้างและสามารถบิน ได้ระยะทาง 53 เมตร และอยู่ในอากาศได้นาน 12 วินาทีOrville #2 สามารถบินได้ระยะทาง 60 เมตร และอยู่ในอากาศได้นาน 15 วินาทีWilbur #2 สามารถบินได้ระยะทางถึง 259 เมตร และอยู่ในอากาศได้นานถึง 59 วินาทีแต่กว่าความสำเร็จจริง ๆ จะเกิดขึ้น - เครื่องบินก็ถูกออกแบบปรับปรุงแก้ไขอีกหลายครั้งและต้องใช้เวลาอีกเกือบสองปี จนในที่สุดเดือนตุลาคม 1905 ‘สองพี่น้อง’ สามารถบินได้นานถึง 39 นาที ซึ่งผลงานนั้นสร้างความมั่นใจว่านี่แหล่ะ คือ อากาศยานที่บินได้จริง - ‘สองพี่น้อง’จึงพักการบินเพื่อดำเนินการจดลิขสิทธิ์ภายหลังได้ ‘สิทธิบัตร’ - ‘สองพี่น้อง’ ใช้เวลา 1906-07 ในการบินโชว์สร้างความมั่นใจต่อสาธารณะ จนสามารถขายเครื่องบินลำแรกให้กับกองทัพบกสหรัฐ โดยได้ผลตอบแทนถึง 25,000 เหรียญ และต่อมาก็ขายให้กับกลุ่มทุนจากประเทศฝรั่งเศส1909 ‘สองพี่น้อง’ ก่อตั้ง โดยเฉพาะ Wright Company เพื่อผลิตฌครื่องบิน รวมถึงทำโรงเรียนการบิน นอกเหนือจากนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Wilbur ที่ให้ความสำคัญในเรื่องธุรกิจอย่างมากโดยใช้ทั้งเวลาและทรัพยากรมากมายไล่ฟ้องผู้ละเมิดลิขสิทธ์ทั้งในทวีปอเมริกาและยุโรป จนนำมาซึ่งเสียงโจมตีจากหลายฝ่ายว่า การต่อสู่ทางธุรกิจทำให้การพัฒนาเครื่องบินของโลกไม่ก้าวหน้า ยาวนานถึง 1917 ที่ ‘สิทธิบัตร’ หมดอายุ จึงนำมาซึ่งช่วงเวลาในการพัฒนาด้านการบินอย่างแท้จริงความเครียดและความเหน็ดเหนื่อย ส่งผลให้ Wilbur ป่วยและเสียชีวิตด้วยโลกไทฟอยด์ ในวันที่ 30 พฤษภาคม 1912 นั่นเอง โดยมีอายุขัยเพียง 45 ปี - ภายหลังการเสียชีวิตของน้องชาย Orville จึงขายหุ้นบริษัทให้กลุ่มนักธุรกิจไป และทำงานเป็นวิศวกรที่ปรึกษาในงานออกแบบเครื่องบิน โดยงานที่เรื่องชื่อ คือ โครงการผลิตเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบไร้นักบิน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 – Orville ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมากมาย ทั้งในอเมริกาและยุโรป อย่างไรก็ตามเค้าใช่เวลา 40 ปีในการต่อสู้กับ Smithsonian Institution เนื่องจาก Smithsonian Institution ได้จารึกในประวัติศาสตร์ว่า Samuel P. Langley (เลขาฯ ของสถาบัน) เป็นคนแรกที่ทำการบินสำเร็จและทำได้ก่อน ‘สองพี่น้อง’ - ความขัดแย้งกับ Smithsonian Institution ทำให้ Orville ตัดสินใจส่ง ‘เครื่องบินลำแรก’ ของพวกเขาให้กับรัฐบาลอังกฤษ เพื่อนำไปแสดงโชว์ใน พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ณ กรุงลอนดอน ตราบจนกระทั่ง ในปี 1942 ที่ Smithsonian Institution ได้มีหนังสือขอโทษอย่างเป็นทางการ ‘เครื่องบินลำแรก’ จึงได้ถูกนำกลับมายังสหรัฐอีกครั้ง – Orville เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว เมื่ออายุ 77 ปี.............................หมายเหตุ ภาพทั้งหมดจาก shutterstock