“เราไม่สนใจคนเก่ง ถ้าเป็นคนดี เราพร้อมสอนให้เป็นคนดีออกสู่สังคม แต่ถ้าเป็นคนเก่งแล้วไม่ดี ไม่เอาอะไรเลย เราก็ไม่สอน ไม่ใช้วิชานี้เพื่อการต่อยตีกับใคร” “ถ้าผู้ฝึกถึงจุดนั้น เขาจะภูมิใจ ก้มหน้าไม่อายดิน เงยหน้าไม่อายฟ้า มองหน้าคนไม่อายใคร ใจเขาจะสว่างและเหมาะสมที่จะคาดสายประคตทองได้” ศิลปะแห่งการต่อสู้บนโลกมีมากมาย มีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่างไปในแต่ละท้องที่นั้น ๆ และในเขตแดนประเทศไทย ก็มีมวยไทยที่เลื่องชื่อระบือไกลไปทั่วโลก เป็นวิชาที่เข้าถึงง่าย มีโรงฝึกมากมาย ชาวต่างชาติให้ความสนใจ จนมีหลายคนที่ได้ดีจากวิชามวยไทยนี้ แต่ทุกวิชาย่อมมีรากฐานต้นกำเนิดของมันทุกวิชา ซึ่งเมื่อขุดค้นตามประวัติศาสตร์ ก็พบว่ามวยไทยนั้นมีอายุอานามหลายร้อยปี สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่สมัยยุคสุโขทัย จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ทรงให้การสนับสนุนและส่งเสริมกีฬา ค่ายมวยจึงเกิดขึ้นเพื่อส่งเข้าแข่งขัน จนเกิดเป็นกีฬามวยคาดเชือก ผ่านมาถึงยุครัตนโกสินทร์ วิชามวยไทยถูกพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลงและสร้างกติกาเพื่อให้สามารถเป็นกีฬาได้ จนมีหลายสำนักสืบทอดวิชามวยไทยจนประความสำเร็จมากมาย แต่ก็มีอีกสำนักหนึ่งที่เลือกจะรักษาวิชาโบราณไว้ “วิชานี้เป็นวิชาที่ใช้ในทหารองครักษ์ เพื่อพิทักษ์พระเจ้าแผ่นดิน วิชานี้ประกอบกับอาวุธด้วย เป็นวิชาที่จอมทัพต้องมี และอยู่ในวังหลวงเป็นหลัก สมัยกรุงศรีอยุธยา มีการตั้งกรมทนายเลือก ก็คัดคนที่เป็นวิชานี้เข้ามา คนในกรมทนายเลือกจะมีคนเก่งเยอะ จนถึงรัชกาลที่ 3 หัวหน้ากรมทนายเลือกชื่อ ‘พ่อท่านมา’ ได้หนีไปอยู่ที่ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไม่มีเรื่องปรากฏว่าหนีเพราะอะไร ท่านก็ได้สอนวิชานี้กับ พระยาวจีสัตยารักษ์ เจ้าเมืองไชยายุคนั้นและสอนชาวเมืองด้วย จนถึงรัชกาลที่ 5 จะมีงานมหรสพ ก็เอามวยมาตีกัน พระยาวจีสัตยารักษ์ก็ส่ง “นายปล่อง จำนงค์ทอง” ลูกศิษย์ของท่านขึ้นไปต่อยที่หน้าพระที่นั่ง ก็ชนะ และได้โปรดเกล้าเป็น ‘หมื่นมวยมีชื่อ’ จากนั้นมาก็เรียกว่ามวยไชยา เพราะเมืองไชยาส่งมา แต่จริง ๆ มันเกิดจากวังหลวง” ณปภพ ประมวญ หรือเป็นที่รู้จักในวงการมวยประเทศไทยในนาม “ครูแปรง” เจ้าของสถาบันสยามยุทธ เล่าถึงประวัติมวยไชยาอย่างคร่าวให้ได้กระจ่างถึงที่มา และยังได้บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในการฝึกวิชามวยไชยาโบราณก่อนที่จะเป็นวิชาอันโด่งดังในทุกวันนี้ ภาพครูทองหล่อกับครูแปรง (ขอบคุณภาพจาก Facebook: https://www.facebook.com/MuayThaiChaiya) “เมื่อก่อนอยู่จันทบุรี ต่างจังหวัดมันก็ชอบมีการต่อยตีกันประจำ เราก็อยู่ในนั้นด้วย เป็นชาวลูกทุ่ง เกี่ยวข้าวเสร็จ ก็ไปที่ลานล้อมวงแล้วก็ยุให้ต่อยกัน จนพ่อเราบอกให้ไปเรียนดีกว่า อย่าอยู่เลย เดี๋ยวก็เป็นแบบเขา พอไปเรียนก็มีปัญหาเรื่องเจ้าถิ่น จีบสาวก็โดนรังแก ตัวเราก็เล็ก เลยอยากหาวิชาที่มันป้องกันตัวได้ อยากเรียนมาก แต่ไม่มีเงิน ในปี พ.ศ.2520 ก็ไปเรียนปริญญาที่รามคำแหง แล้วเข้าชมรมต่อสู้ป้องกันตัว เราเจอมวยไทยเวทีก่อน แล้วเห็นคนอื่นเขาเรียนกระบี่กระบอง ก็เลยไปฝึกด้วย ระหว่างนั้นก็ได้ข่าวว่ามีมวยโบราณไชยา เป็นของลับ และเราเคยเรียนประวัติศาสตร์เรื่องนายขนมต้มกับพระยาพิชัยมาก่อน เราก็เริ่มค้นหา จนกระทั่งมาเจอรุ่นน้องชื่อปาน มาขอซ้อมด้วย แต่เชิงมวยคนนี้มันดูแปลก ๆ ก็เลยสอบถาม ได้ความว่าเป็นมวยไชยา เราก็ขอให้พาไปหาหน่อย ก็ได้พบกับ ครูทองหล่อ ยาและ ที่บ้านทัพช้างล่าง เลยได้เรียนกับครูเขา ตอนแรกก็ไปกันหลายคน แต่เรียนไปสักพักคนหายเกือบหมด เหลือเรากับรุ่นพี่สองคน ก็เรียนทุกวัน ลุยตั้งแต่เย็นยันมืด นานไปเห็นมันเงียบ ไม่มีโชว์ ก็ขอครูทองว่าเอาวิชานี้ไปสอนในราม ครูก็ให้และไปสอนด้วย พอไปฝึกสอนฟรีในราม คนก็เล่นเยอะ ก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น” หลังจากค้นพบในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ครูแปรงก็สืบสานวิชานี้ต่อมาถึง 30 ปี จากผู้เริ่มฝึกกลุ่มเล็ก ๆ ไม่กี่คน กลายเป็นมีผู้ฝึกที่มากขึ้นจนถึงหลักพันคน อีกทั้งไม่ได้มีแค่ชาวไทยที่ฝึก ยังมีชาวต่างชาติให้ความสนใจในวิชานี้ และปัจจุบัน สยามยุทธก็ได้บ่มเพาะสร้างนักมวยไชยาโบราณออกไปมากมาย ซึ่งเนื้อในของวิชานี้ ไม่ได้เน้นที่การต่อยตีเป็นหลัก แต่มีเรื่องราวของปรัชญา หลักธรรมต่าง ๆ ซ่อนไว้อยู่ทุกท่วงท่า “มวยไชยามันต่างกับมวยไทยปัจจุบันคือบริบทมันต่างกัน มวยไชยาโบราณแต่ก่อนเขาใช้ในการต่อสู้ ใช้ในการศึกสงคราม ไม่ได้มีแค่เตะต่อยอย่างเดียว มีการจับทุ่ม การซ้ำคู่ต่อสู้ นั่นคือหลักการของวิชาโบราณ มันเป็นศิลปะ มีวิชาการและรายละเอียดอยู่ อย่างการวางท่ามันจะมีองศา การจัดระบบร่างกายและจิตใจ จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๗ ก็มีการต่อยกันตาย ก็เลยมีการปรับกติกา ห้ามซ้ำคู่ต่อสู้ ห้ามทุ่ม ห้ามลาก มีแค่หมัด เท้า เข่า ศอก ก็ปรับเป็นกีฬา ลดทอนความรุนแรงไปเยอะ เป็นการพัฒนาเพื่อการกีฬา มียิมเปิดทั่ว ตามฟิตเนสก็มี ใครก็เข้ามาเรียนได้ ใช้ออกกำลังกายได้ และใช้ป้องกันตัวได้ แต่ต่างกับมวยไชยาอย่างสิ้นเชิง การจรดท่า การเตะ ท่าทุ่ม จับ หัก ไม่เหมือนกัน” ดังที่เห็นได้ถึงความสำเร็จในวิชาการต่อสู้อย่างคาราเต้ ยูโด หรือเทควันโด ที่เป็นวิชาสายฝั่งตะวันออก เพราะมีแบบแผนการฝึกและเอกลักษณ์ชัดเจน ด้านมวยไชยาก็ไม่ต่างกัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครแล้ว ครูแปรงยังได้เล่าเรื่องราวถึงชุดฟอร์มที่ใช้ในการฝึกวิชานี้ ที่มีความหมายอันลึกซึ้งซ่อนอยู่ภายใน “เมื่อก่อนไม่มีชุดแบบนี้นะ จะใส่อะไรก็ได้ พอไปดูคาราเต้หรือเทควันโด เขาประสบความสำเร็จเติบโตได้ เพราะเขามีระบบแบบแผนการฝึก มีลำดับสาย ของเราแต่ก่อนดูไม่มีมาตรฐาน ก็เลยปรับแผนการฝึกใหม่ เริ่มออกแบบชุดก่อน ชุดดำแบบนักรบ สีทองคือสีแห่งความรุ่งเรือง ก็เป็นชุดดำทอง สมัยก่อนนักรบจะมีสายคาดเอว เราก็นำมาปรับใส่ แต่ของครูเป็นประคต เพราะแท้จริงวิชานี้ในระดับสูงเหมือนเป็นนักบวช และมีเรื่องของศาสนามาเกี่ยวข้อง ก็เป็นสายประจำตัวครู ผู้บัญญัติ ไม่ใช่เครื่องราง แต่เป็นการบ่งบอกวิทยฐานะ ส่วนตราสัญลักษณ์ ด้านนอกเป็นวงกลมอุณาโลม ที่รวมทุกสิ่งที่อย่างให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เลข ๙ หมายถึงเกิดในยุครัชกาลที่ ๙ กงจักรบ่งบอกถึงความอันตราย มันแหลมคม เป็นอาวุธของพระอินทร์ เป็นของสยามประเทศ ภายในกงจักรคือความว่างเปล่า เข้าถึงศาสนา นิ่ง สงบ เป็นผู้บรรลุ ส่วนอาวุธด้านข้าง คือสยามยุทธที่บ่งบอกถึงอาวุธของสยามประเทศที่ครบทั้งมือเปล่าและการใช้ยุทโธปกรณ์” “ลำดับสายนี่เรากำหนดไว้เพื่อใช้ในระดับการฝึกสอนเพื่อให้ชัดเจน มันมีปรัชญาแฝงไว้ด้วย จะแตกต่างกับวิชาของพวกตะวันออก ที่เริ่มจากขาวแล้วเข้าสายสีไปจนถึงสายดำ แต่ของเราจะเริ่มที่สายดำ เพราะสายดำบ่งบอกถึงผู้ที่ไม่รู้มาก่อน จิตใจยังมืดมน มีอัตตาสูง แล้วก็กะเทาะออกมาเป็นสีน้ำตาล ม่วง แดง น้ำเงิน ฟ้า เหลือง เงิน แล้วก็ขาว สูงสุดคือทอง สังเกตว่ามันจะสวนทางกับสายของวิชาฝั่งตะวันออก เพราะสีขาวคือจิตใจเราเรียบร้อย สงบ เมื่อถึงทอง คือสีของความรุ่งเรือง ความเจริญทางวิชาการ สติ ปัญญาและจิตใจ เป็นผู้ที่พบแสงแห่งธรรม เรียกว่าถึงระดับสูงในวิชานี้ต้องพร้อมบวช ไม่ใช่พร้อมรบ เราไม่สนใจคนเก่ง ถ้าเป็นคนดี เราพร้อมสอนให้เป็นคนดีออกสู่สังคม แต่ถ้าเป็นคนเก่งแล้วไม่ดี ไม่เอาอะไรเลย เราก็ไม่สอน ไม่ใช้วิชานี้เพื่อการต่อยตีกับใคร แต่ใช้วิชานี้เมื่อจำเป็นต้องใช้ เช่น เพื่อปกป้องสังคมและบ้านเมือง นั่นคือเป้าหมายของเรา ถ้าผู้ฝึกถึงจุดนั้น เขาจะภูมิใจ ก้มหน้าไม่อายดิน เงยหน้าไม่อายฟ้า มองหน้าคนไม่อายใคร ใจเขาจะสว่างและเหมาะสมที่จะคาดสายประคตทองได้” ในปัจจุบันจะพบเห็นได้ว่ามวยไทยเป็นวิชาที่แพร่ขยายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จนนักกีฬาการต่อสู้หลายคนเอาวิชานี้ไปใช้ในการแข่งขนจนประสบความสำเร็จหลายคน มวยไชยาก็เป็นอีกวิชาหนึ่งที่มีการสืบทอด แม้จะมีผู้เข้าฝึกเรียนรู้จนถึงหลักแสนคนภายในประเทศนี้ แต่ก็พบว่ายังไม่สามารถขยายตัวได้รวดเร็วเท่ามวยไทย ซึ่งครูแปรงก็ได้อธิบายถึงเหตุผลนี้ไว้อย่างชัดเจน “มวยไชยาเรียนนานมาก เรียน 30 ปีถึงจะเป็นมวยไชยา 10 ปียังถือว่าน้อยไป ปูนยังไม่แห้งแล้วไปรีบก่อ มันจะมั่นคงได้มั้ย? ก็ไม่ได้ เราจะขยายวิชานี้ได้ ต้องขยายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าระบบไม่มี มันสะเปะสะปะ มันไม่ดี ทำเป็นกับทำได้มันต่างกัน ทำได้ เปิดดูบนอินเตอร์เน็ตแล้วฝึกตามก็ทำได้ ทำเป็น ต้องรู้ว่าทำเพื่ออะไร ทำทำไม มีความหมายอย่างไร ต่อยอดอย่างไร มันลึกซึ้งกว่านั้น มันไม่ได้เป็นแค่การฝึกวิชา มันยังมีเรื่องของวิถีชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้องที่ต้องเรียนรู้ด้วย เหมือนคาราเต้ บางคนอายุ 80 ปียังไปสอบอยู่เลย มันเป็นเรื่องของปรัชญาที่เรียนรู้กันนาน” แม้จะเกิดที่จันทบุรีและมาอยู่ในกรุงเทพมหานคร แต่ก็ถือว่าครูแปรงก็เป็นคนที่เจนจัดในวิชามวยไชยานี้ และเป็นประชาชนคนหนึ่งที่เห็นความเปลี่ยนแปลงด้านบ้านเมืองมาหลายทศวรรษ อีกทั้งเป็นผู้ที่ทำให้วิชานี้เผยแพร่ไปจนโด่งดังทั่วประเทศ และมีผู้สนใจที่จะเข้ามาศึกษามากมาย “วิชาที่สอนมันคือบทบาทของคนไทยคนหนึ่ง ที่รักศิลปะ ประเพณี วัฒนธรรมและมันคู่กับศาสนา บ้านเมืองจะสงบได้ คนก็ต้องมีหลักธรรม ศีลธรรม ไม่ปล้นฆ่าทำร้ายผู้อื่น วิชานี้ก็ยังใช้ปกป้องตัวเอง เพื่อนบ้าน สังคม เมือง ประเทศชาติ ถ้ามีพื้นฐานเหล่านี้ มันก็ทำให้บ้านเมืองสงบร่มเย็น รากฐานแข็งแรง เอาความร้ายกาจมาขัดเกลา ใช้วิชานี้เมื่อจำเป็น ใช้พรหมวิหาร 4 ควบคุม คนก็ไม่รังแกกัน เจอกันก็ทักทายด้วยความดี พูดกันด้วยความอ่อนหวาน ไม่รังแกกัน นี่คือสิ่งที่เมืองในปัจจุบันควรจะเป็น”