สวัสดีค่าชาวโลกทั้งหลาย ในยุคนี้ พ.ศ. นี้ คงมีโรคเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะร้ายแรงหรือไม่ก็ตาม และคงไม่มีใครอยากจะมี ‘โรค’ ส่วนตัวเป็นของตัวเองแน่นอน แต่มนุษย์ออฟฟิศเมืองกรุงเทพมหานครอันศิวิไลซ์อย่างเราๆ นั้น คงหนีไม่พ้นฝุ่ควัน ความเครียด รถติด ฝนตก น้ำท่วม บลาๆๆ ต่างๆ มากมาย ซึ่งซิสก็เป็นหนึ่งในนั้น ออกตัวก่อนนะคะ ซิสทำอาชีพหลายอย่างค่ะ เป็นนักเต้น นักเขียน บรรณาธิการ และช่างแต่งหน้า ซิสคิดมาตลอดว่าเรานั้นร่างกายแข็งแรง เราเต้นทุกวัน ได้ออกกำลังกายทุกวันยังไงก็แข็งแรง ไม่ป่วยง่ายแน่นอน โดยที่ลืมนึกไปว่า การที่เราทำงานหนักก็ทำให้เรา ‘ป่วย’ ได้เช่นกัน เพราะเรามักจะเผลอลืมดูแลตัวเอง และคิดว่ามัน ‘ไม่เป็นไร’ เพราะความที่ซิสเป็นคนบ้าเลือดมาก บางวันทำงานเช้าชนเช้า แบกความเครียด แบกภาระความรับผิดชอบ ความหลากหลายหน้าที่ ทั้งหน้าที่การงานและที่นอกเหนือจากหน้าที่การงาน หน้าที่หัวหน้าครอบครัว หน้าที่ลูกในวันที่พ่อป่วย หน้าที่พี่สาวในวันที่น้องโดนจับยาเสพติด และแน่นอนค่ะ ‘สวัสดีศรีธัญญา’ โดนหามไปเลยจ้ะ ในช่วงแรกๆ ที่ป่วย มันยังมืดมน นอนมองเพดานเป็นสัปดาห์ ไม่กิน ไม่นอน ไม่อาบน้ำ ร้องไห้เกือบจะตลอดเวลา ผิดหวังจากความรัก โดนเชิญออกจากงาน แน่นอนค่ะว่าคุณค่าตัวเองในสายตาซิสมันเท่ากับศูนย์เลย ทำงานเลี้ยงตัวเอง ส่งตัวเองเรียนตั้งแต่อายุ 14 พอวันนึงชีวิตทุกวันมันไม่มีเป้าหมาย มันก็ไร้ค่าค่ะ เราเงียบหายไปจนย่าที่เลี้ยงซิสมาตั้งแต่เด็กโทรมาหา ปล่อยโฮเลยค่ะ ร้องไห้แบบที่ไม่เคยร้องมาก่อน และเวลาแห่งการลองของก็ได้เริ่มขึ้น ย่าพาไปหาพระเลยค่ะ บ้านซิสอยู่ระยอง มีพระอาจารย์ท่านนึงที่ทางบ้านนับถือมายาวนาน พระท่านก็บอกว่าหนัก เพราะเบญจเพส คือจริงๆ ซิสไม่เชื่อนะว่าอาถรรพ์เบญจเพสจะมีจริง แต่ซิสในตอนนั้นใครให้ทำอะไรซิสทำหมดค่ะ พระท่านบอกว่าวันพฤหัสนี้ให้มาอาบน้ำมนต์และทำบังสุกุล พิธีใหญ่ที่ท่านไม่ค่อยทำให้ใครนอกจากคนใหญ่คนโต และท่านบอกให้รีบมาทำเลย เพราะว่าซิสตอนนั้นหนักจนน้ำหนักลดไป 10 กิโล ซิสก็ไปทำ โดยบ้านซิสจะได้สิทธิพิเศษจากท่านนิดนึง เพราะบางคนจะนิมนต์ท่านนี่ต้องจองกันเป็นปีเลย ต่อมาก็มีนักจิตวิทยาท่านนึง (ซึ่งจับได้ว่าเป็นพวกแอบอ้าง) จากกลุ่ม “สาร์นจากผู้ป่วยโรคซึมเศร้า” ได้ทักมาคุย ซึ่งเราในตอนนั้นอ่อนแอมาก เค้าเข้ามาทำเหมือนเข้าใจเรา รับฟังเรา ให้เราไปหาพระอาจารย์ท่านนึง เราก็ไป ท่านบอกว่าภายในของเราทรุดหนักมาก เค้าแนะนำให้เราไปทำ “กัวซา” กับหมอสอิ้ม ซิสรู้จักหมอท่านนี้และสนใจศาสตร์กัวซาและศึกษามานานแล้วแต่ไม่กล้าไปทำเพราะหลายๆ เสียงบอกว่าเจ็บ แต่ซิสก็ไปค่ะเพราะสนใจอยู่แล้ว แต่ช่วงหลังซิสไม่ได้ติดต่อกับพระท่านนั้นแล้วนะคะ เนื่องจากว่ารู้สึกเหมือนโดนคุกคาม โทรหาบ่อยเกินความจำเป็น พอเล่าอะไรไปก็ตอบกลับมาว่าตัวเองโดนมามากกว่านี้อีก และบางประโยคของเค้าทำให้ซิสรู้สึกว่า มันไม่จริง และสุดท้ายนักจิตวิทยาและพระท่านนั้นก็โดนแหกไปแล้วเรียบร้อย (ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด) และวันที่นัดกับหมอก็มาถึง คลินิกหาไม่ยากเลยค่ะเพราะใกล้กับคอนโดที่ซิสอาศัยอยู่ คลินิกชื่อสอิ้มคลินิก พอไปถึงคุณหมอก็เอาลูกดิ่งมาวนๆบนมือ หัว แล้วก็ไหล่ คุณหมอถามว่าไหล่ตึงมั้ย ปวดหัวไมเกรนบ่อยหรือเปล่า เป็นโรคจิตเภทใช่ไหม เราก็ตอบว่าใช่ค่ะ แล้วคุณหมอก็ให้เปลี่ยนเสื้อผ้า เหลือแต่ผ้าถุง คุณหมอก็ดปิดตำราภาษาจีน โดยบอกเราก่อนว่าเราต้องขูด หัวบริเวณกระหม่อม พื้นที่ระหว่างปากกับจมูก ไหล่ หลัง แขน มือ น่อง และเท้า คุณหมอสอิ้มจะเทน้ำมันบนตำแหน่งที่จะขูด แล้วใช้เขี้ยวสัตว์ขูดลงมาเลยค่ะ พอคุณหมอเริ่มต้นขูด จะบอกว่าเจ็บมากกก แบบแดดิ้นเลยค่ะ เจ็บจนน้ำตาไหล ร้องจนคนข้างนอกห้องหัวเราะ มันไม่ได้เจ็บที่โดนขูดนะคะ มันเจ็บข้างในแบบตึงๆ หน่วงๆ คล้ายโดนนวดแต่คูณร้อยเข้าไปเลยค่ะ คุณหมอจะขูดเรื่อยๆ จนพิษออกมาเป็นก้อน แล้วจะค่อยๆ หายไป มันจะค่อยๆ หายเจ็บและพิษในร่างกายจะหลุดออกมาจนหมด ซึ่งมันจะขึ้นสีบนผิว ตอนที่คุณหมอถ่ายรูปให้ดูคือตกใจมาก แบบมันสีแดงมากๆ ค่ะ แต่รอยจะจางลงประมาณ 3-7 วันค่ะ รูปต่อไปนี้คือหลังจากที่ทำกัวซานะคะ ก็ออกจะน่ากลัวหน่อยๆ ><&nbsp; ในปัจจุบัน กัวซายังไม่มีการรับรองนะคะ ว่าสามารถรักษาโรคได้ แต่ว่าหลังจากรอยหาย อาการตึงไหล่และไมเกรนลดลงจริงๆ แต่ยังคงรักษาโลกซึมเศร้าต่อไปค่ะ เพราะคนที่เป็นโรคนี้ต้องมีวินัยในการทานยา ไปพบหมอ และห้ามหยุดยาเอง ค่อยๆ ปรับความคิดไป ตอนนี้ซิสหายใจได้โล่งขึ้นมาก โลกสดใสขึ้นมามากแล้วค่ะ ซิสขอเพิ่มเติมนะคะเผื่อหลายท่านต้องการข้อมูล "กัวซา คือ เทคนิคการรักษาโรคของจีนโบราณ โดยใช้อุปกรณ์เฉพาะที่มีลักษณะโค้งมนมากดและขูดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เชื่อกันว่ากัวซาอาจช่วยล้างพิษในร่างกาย เพิ่มพลังชีวิต ต้านการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหลายชนิด เช่น ปวดคอ ปวดหลัง บรรเทากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน และอาจช่วยแก้ปัญหาเต้านมคัดของหญิงตั้งครรภ์ได้ด้วย การทำกัวซาเริ่มต้นด้วยการทาน้ำมันลงบนผิวหนังบริเวณที่มีอาการ จากนั้นแพทย์จะใช้อุปกรณ์กัวซาที่มีลักษณะโค้งมน ผิวเรียบ เป็นก้อนหรือเป็นแผ่นบาง อาจมีด้ามจับขนาดพอดีมือ ซึ่งทำมาจากวัสดุหลากชนิด เช่น เซรามิก หยก ไม้ หรือเขาสัตว์ นำไปกดและขูดผิวบริเวณนั้นเป็นจังหวะสั้นยาวซ้ำ ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดของเนื้อเยื่ออ่อน ส่วนมากนิยมทำกัวซาบริเวณลำคอ แขน แผ่นหลัง ก้น สะโพก และขา หรือบางคนอาจทำที่ใบหน้า โดยเชื่อว่าอาจช่วยให้ผิวกระชับขึ้น" ขอขอบคุณที่มาข้อมูลจาก Prodpad ถ้าท่านไหนสนใจอยากไปลองนะคะ ชื่อคลินิกสยามกัวซา ตั้งอยู่ในพระรามเก้า ซอย 11 ถนนพระรามเก้า เบอร์โทร. 02-7169767 หรือ 081-4289569 ขอบคุณรูปจากเพจของทางคลินิก และในรีวิวนั้นคือซิสเอง กรุณาอย่าตกใจ ขอบคุณค่ะ