ภาพจาก : StartupStockPhotos / Pixabay ในปัจจุบันเชื่อว่าใครหลายๆ คนต้องรู้จักหรือเคยได้ หรือไม่ก็เคยเป็นโรคนี้ด้วยซ้ำ!!เรามาเกริ่นความเป็นมาของเจ้าโรคนี้ดีกว่า เพราะยิ่งนับวัน พวกเราวัยทำงานในออฟฟิศจะยิ่งเป็นมากขึ้น และมากขึ้นไปอีก พูดง่ายๆ ว่า เกือบจะร้อยละร้อยเลยกก็ว่าได้ที่จะเป็นเจ้าโรคนี้ (อย่างผมที่นั่งพิมพ์บทความก็ไม่เหลือ ฮ่าๆๆ)ภาพจาก : Pexels / Pixabay โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) มันมายังไง เป็นยังไงกัน? ไอ้เจ้าออฟฟิศซินโดรมนี้มันเกิดขึ้นในระหว่างเรานั่งทำงาน...ใช่แล้ว ทำงานนี่แหล่ะ ไม่ต้องทำงานที่ออฟฟิศก็ได้ เป็นคุณกำลังนั่งถักไหมพรม นั่งเล่นมือถือ กินไปนอนดูหนังไปกำลังทำอะไรเพลินๆ ติดลม ทำยาวๆ ไม่เปลี่ยนท่า นั่งท่าเดิมซ้ำๆ นานๆ ต่อเนื่องกัน เหล่านี้ทำให้ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อเกิดอาการตึง เกร็ง เหน็บชา ส่วนใหญ่จะเกิดที่บริเวณลำคอด้านหลัง หรือต้นคน พอเป็นเยอะขึ้นก็เริ่มแขนชา ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหนถ้าพฤติกรรมแบบที่กล่าวมาข้างต้นก็เป็นโรค "ออฟฟิศซินโดรม" ได้หมดนั่นแหล่ะ!! ภาพจาก : ivanovgood / Pixabay ยิ่งไม่ปรับลักษณะในการทำงาน ยิ่งส่งผลให้อาการหนักขึ้น อาทิเช่น ปวดหัว เวียนหัว จะอ้วก ท้ายสุดคือหมอนรองกระดูเคลื่อนกดทับเส้นประสาท บานปลายไปเป็นอัมพาตครึ่งซีก หรือทั้งตัวก็มี!! แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมหรือไม่? สังเกตุกันด้วยนะ 1. สัญญาณเตือนแรกหลายๆ คนก็รู้สึกแค่ เมื่อยคอ ตึงคอ บิดคอก๊อกแก๊ก บิดตัว บิดหลังนิดหน่อยก็เหมือนจะดีขึ้น ซึ่งอาจจะดูยังไม่ค่อยออกนัก 2. เมื่อใช้สายตาเป็นเวลานานๆ อยู่ๆ ก็ปวดหัวตึ้บๆ ปวดแบบเหมือนจะเป็นไข้นี่แหล่ะอาการเริ่มมาแล้ว 3. แขนล็อก ชา ไฟฟ้าช็อตมือ แขน หรือศอก หรือมีอาการเหน็บชา จากแขนลามไปทั่วแขนหรือขา หากเกิดแบบนี้บ่อยๆ อาจจะทำให้มีผังผืดขึ้นภายใน หรือบางรายอาจถึงขั้นเลือดไปเลี้ยงไม่พอ ขยับแขน หรือเดินเหินไม่ได้ก็มีมาเยอะภาพจาก : JillWellington / Pixabay ดังนั้น วิธีแก้ไขหรือป้องกัน "ออฟฟิศซินโดรม" นี้ ก็ไม่ได้ยากแต่อย่างใด เพียงแค่รู้จักการแบ่งเวลาพักผ่อน ยืดเส้นยืดสายให้กับแต่ละส่วนของร่างกายบ้าง ลุกบ้าง เดินบ้าง อย่าขยันมากเกินไปจนกลายเป็นงานกลับมาทำร้ายเรา ไม่คุ้มแน่ๆ และช่วงนี้ก็เป็นช่วงโควิด-19 เกิดขึ้นหนักอีกระลอก หลายต่อหลายคนก็ต้องทำงานอยู่กับบ้าน work from home กันเยอะ นอกจากจะต้องป้องกันตัวจากโควิด-19 แล้ว อย่างไรก็อย่าลืมรักษาสุขภาพ ไม่ทำงานจนจาก "โรคออฟฟิศซินโดรม" กลายเป็น "บ้านซินโดรม" กันนะครับ (ฮ่าๆๆ) สวัสดีครับ