ปฏิเสธไม่ได้ว่า อองตวน กรีซมันน์ ดาวเตะเลือดเฟรนช์ดีกรีแชมป์โลกครั้งล่าสุดคือนักเตะที่กองหลังทุกทีมต่างครั่นคร้าม หวั่นเกรงยามที่ได้ยินชื่อศูนย์หน้าผู้นี้ลงสนาม ด้วยสถิติ 133 ประตูกับอีก 50 แอสซิสต์จากการลงเล่น 257 นัดในสีเสื้อแอตฯ มาดริด อีกทั้งเป็นตัวเลือกต้นๆในตำแหน่งศูนย์หน้าที่ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เฮดโค้ชทีมชาติตราไก่ ฝรั่งเศส เรียกใช้บริการมาตลอด แต่เวทย์มนต์เหล่านั้นที่กรีซมันน์เคยร่าย ได้เลือนหายไปในฤดูกาลนี้กับบาร์เซโลน่า... เราจะมาวิเคราะห์กันว่าแพะตัวไหนกันที่สมควรถูกนำมาถลกหนังในข้อหาทำให้ศูนย์หน้าวัย 29 ย่าง 30 ผู้นี้เกิดอาการฟอร์มสะดุดในช่วงที่ถือว่านี่คือจุดพีคที่สุดในอาชีพนักฟุตบอล! แพะตัวที่ 1 อองตวนและความกดดันของเขาเอง 120 ล้านยูโร คือตัวเลขค่าฉีกสัญญาที่ เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่าจ่ายเพื่อคว้าตัวเขามาจากแอตฯ มาดริด กับผลงานถึงปัจจุบัน 46 นัด 15 ประตู 4 แอสซิสต์ถือเป็นตัวเลขที่แฟนบอลมองว่าต่ำกว่ามาตรฐานของเขาไปสักเล็กน้อยเมื่อบวกกับค่าตัวที่แพงลิบลิ่วทำให้กองเชียร์และกองแช่งต่างคาดหวังและเพ่งเล็งเขามากเป็นพิเศษ ถ้าคิดในทางกลับกันโดยตัดเรื่องค่าตัวทิ้งไป ผลงานในฤดูกาลนี้ของกรีซมันน์ยังถืออยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้และยังพอมีโอกาสในการปรับตัวเข้ากับทีมอีกครั้งในฤดูกาลหน้าได้อยู่ แต่เป็นธรรมดาที่ความกดดันจากค่าตัวและความคาดหวังจากทั่วทุกสารทิศทำให้เขาต้องแบกรับมันมากเกินไปจนลุกลามส่งผลให้ฟอร์มการเล่นไม่คงเส้นคงวาเหมือนแต่ก่อน แถมเกมล่าสุดในลีกที่ทีมต้นสังกัดบุกไปเอาชนะ เรอัล บายาโดลิด 1-0 เจ้าตัวก็ดันได้เจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งและมีแนวโน้มว่าน่าจะปิดฉากการลงเล่นในฤดูกาลนี้เป็นที่เรียบร้อย แพะตัวที่ 2 บัลเบร์เด้ และเซเตียน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสามารถของกรีซมันน์นั้นเหลือล้นชนิดที่เรียกได้ว่าจับไปยืนตำแหน่งไหนก็ได้ในแผงหน้า ทั้งกองหน้าฝั่งซ้าย ตัวกลาง หรือฝั่งขวา แต่เมื่อมาเจอกับระบบการเล่นใหม่ของโค้ชที่โปรเน้นผลมากกว่าความสวยงามของฟุตบอลอย่าง เออร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ หรือกิเก้ เซเตียน ก็ทำให้เขาถึงกับไปไม่เป็น หลายคนอาจจะแย้งว่าแทคติกการเล่นของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เจ้านายเก่าของเขาที่แอตฯ มาดริดนั้นเล่นเน้นผลกว่าสองกุนซือนี้เสียอีก ถ้าเป็นจริงดังคำกล่าวนั้นแล้วเพราะอะไรล่ะที่ทำให้กรีซมันน์เล่นไม่เหมือนเดิม? คำตอบสำคัญคงอยู่ที่คำว่า อิสระและพื้นที่ในการเล่น ยามเล่นให้ แอตฯ มาดริดนั้นกรีซมันน์คือหัวใจในเกมบุกของทีมตราหมีมาโดยตลอด อีกทั้งทีมคู่แข่งหลายๆครั้งมักจะไม่ได้เล่นแบบแพ็คเกมรับแน่น ทำให้กรีซมันน์ยังพอมีพื้นที่ได้สร้างสรรค์เกม แต่กลับกลายจะเป็นทีมตราหมีเองเสียมากกว่าที่เลือกเล่นแบบเน้นความแน่นอน ไม่ผลีผลามบุก เปิดโอกาสให้อีกฝั่งชะล่าใจบุกขึ้นมาจนพื้นที่แดนหลังเปิดกว้างมากขึ้น หลายๆครั้งเราจึงมักเห็นประตูจากการสวนกลับอยู่บ่อยๆของแอตฯ มาดริด ต่างกับรูปแบบการเล่นของบาร์เซโลน่าที่คู่ต่อสู้มักเลือกแพ็คเกมรับแน่น ไม่เปิดหน้าแลกชนิดที่เรียกได้ว่าจอดรถบัสทิ้งไว้ 2 ชั้น ซึ่งตรงนี้กรีซมันน์ไม่ใช่สายใช้สกิลเลี้ยงบอลหลอกล่อเอาตัวรอด 1 ต่อ 1 แต่ความสามารถของกรีซมันน์จะเป็นการชิ่งหนึ่งสองและการเอาตัวรอดร่วมกันกับทีมมากกว่า ซึ่งโค้ชทั้งสองคนนี้ต่างยังไม่มีคู่มือใช้งานของกรีซมันน์เหมือนที่ “เอล โชโล่ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่” เคยมีพกติดตัวสมัยร่วมงานกับกรีซมันน์ที่แอตฯ มาดริด แพะตัวที่ 3 ลิโอเนล เมสซี่ ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่าเมสซี่คือตัวการที่ทำให้ฟอร์มของกรีซมันน์ไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่ทุกคนหวังไว้ เพียงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอิสระการเล่นของกรีซมันน์ที่หายไป หรือผู้เล่นที่มีสไตล์คล้ายๆกันนี้มักจะไปทับกับยอดแข้งอย่าง ลิโอเนล เมสซี่เสมอ ตามไลน์อัพของบาร์เซโลน่านั้นเมสซี่จะถูกจัดให้อยู่ตรงหน้าขวา ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นกรีซมันน์ แต่เมื่อถึงเวลาคิกออฟจริงๆ เมสซี่จะมีอิสระในการเล่นทั้งแผงกลางและหน้าคอยบัญชาการเกมรุก แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมส่งผลต่อฟอร์มของกรีซมันน์ไม่มากก็ไม่น้อย มีกรณีศึกษาหลายครั้งที่เมื่อมีเมสซี่ในสนาม คนที่สไตล์การเล่นคล้ายๆกันหรือมีบทบาทกับทีมคล้ายๆกันมักจะฉายแววไม่ค่อยออก ดังเช่น ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ หรือในทีมชาติอาร์เจนตินา กับเปาโล ดีบาล่า นักเตะเหล่านี้มักไม่ถูกเบียดเป็นตัวสำรองก็ต่างถูกจัดให้เล่นในพื้นที่จำกัดกับตำแหน่งที่ไม่ได้ถนัดสักเท่าไรนัก นักเตะที่บาร์เซโลน่าต้องการจริงๆนั้นสไตล์การเล่นอาจจะต้องมีสกิลการเอาตัวรอดส่วนตัวที่สูง สามารถเอาตัวรอดในพื้นที่แคบๆได้ รวมทั้งมีสปีดต้นที่จัดจ้านเหมือนกับ เนย์มาร์ น่าสนใจมากว่าถ้าหาก อุสมาน เดมเบเล่กลับมาจากอาการบาดเจ็บ หรือ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ กลับมาจากการถูกปล่อยยืมตัว ใครจะเป็นผู้อยู่รอด และใครจะเป็นผู้ที่ต้องจากไป เพราะตำแหน่งนี้ก็ยังมีเด็กปั้นจาก ลา มาเซีย ศูนย์เพาะดาวรุ่งชั้นพระกาฬของบาร์เซโลน่าอย่าง อันซู ฟาติพร้อมเป็นตัวสอดแทรกอีก อองตวน กรีซมันน์ จะยังได้รับโอกาสที่สองอยู่ไหมในฤดูกาลหน้าคือเรื่องที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง เครดิต รูปปก / รูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3