* บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ Itaewon Class หลังจากเพิ่งฉายจบไปได้ไม่นาน Itaewon Class ธุรกิจปิดเกมแค้น ซีรี่ส์ที่ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองและเป็นที่พูดถึงอย่างอย่างมากในโลกออนไลน์ทั้งพระเอกหัวเกาหลัดอย่าง พัคแซรอย น้องหมวยของหลาย ๆ คนอย่างน้องอีซอ หรือกระทั่งสาวสวยข้ามเพศอย่างมาฮยอนอี แต่กลับมีหนึ่งตัวละครที่มักถูกมองข้ามหรือถูกพูดถึงน้อย นั่นคือ “โอ ซูอา” ที่รับบทโดย ควอน นารา โดยหากอยู่ในซีรี่ส์เรื่องอื่น ๆ เธอมีคุณสมบัติครบทุกอย่างที่จะเป็นนางเอก ทั้งใบหน้าที่เป็นความสวยในแบบฉบับพิมพ์นิยมเกาหลี น่ารัก ยึดมั่นในคำสัญญา มีความรักที่มั่นคง การศึกษาที่สูง และการงานที่มั่นคง แต่ไม่ใช่กับซีรี่ส์เรื่องนี้ที่เธอต้องหลีกทางให้กับนางเอกขวัญใจชาวไทยอย่างน้องหมวยอีซอหากลองมองกลับไปที่คุณสมบัติของซูอา นอกจากเธอจะเป็นหญิงสาวในอุดมคติของหลาย ๆ คน ทั้งคนไทยและคนเกาหลีแล้ว เธอยังเป็นเหมือนภาพสะท้อนที่ชี้ให้การแข่งขันและนิยามคำว่า “ความสำเร็จ” ของคนเกาหลีอีกด้วย ในบทความนี้เราจะมาถอดบทเรียนจากซูอา หญิงสาวอุดมคติและนิยามความสำเร็จของคนเกาหลี โดยหากจะอธิบายให้เข้าใจและเห็นภาพง่าย ๆ โดยแบ่งเรื่องราวออกเป็น 2 ประเด็น คือ หนึ่ง การแข่งขันทางการศึกษาของคนเกาหลี และสอง การทำงานและความสำเร็จของคนเกาหลีการแข่งขันทางการศึกษาของคนเกาหลีซูอานั้นเติบโตมาในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า และมีฐานะทางการเงินที่ขัดสน ส่งผลให้เราจะได้เห็นตั้งเริ่มเรื่องว่า ซูอา มีความฝันที่อยากจะประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งต้องการยกฐานะของตนเอง ต้องการที่จะร่ำรวย มีหน้าที่การงานที่มั่นคง และมีบ้านเป็นของตัวเอง และหนทางสู่ความฝันเหล่านั้นและจะยกระดับฐานะได้ก็คือการศึกษา ซีรี่ส์จะให้เราเห็นเลยว่าซูอาต้องการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยควังจิน จนต้องวิ่งถึง 3 กิโลเพื่อไปสอบสัมภาษณ์ และเกิดโมเม้นท์โรแมนติกระหว่างเธอกับแซรอยขึ้นสำหรับเรื่องการศึกษาคนเกาหลีนั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากโดยผลสำรวจในปี 2011 เผยว่า นักเรียนมัธยม 87.9% มีอาการเครียด และกว่า 70% ของจำนวนนักเรียนที่มีอาการเครียดทั้งหมดนั้นกล่าวโทษว่าเพราะการเรียนเป็นสาเหตุ การจะเข้าไปเรียนในมหาลัยชั้นนำสักแห่งนั้นนักเรียนทุกคนจะต้องผ่านการสอบอันแสนสาหัสที่เรียกว่า ซูนึง (수능) การสอบวัดผลทางวิชาการที่กินเวลาเต็มหนึ่งวัน เด็กทุกคนจะทุ่มเทเพื่อการสอบในครั้งนี้อย่างมาก เป็นเรื่องปกติอย่างมากในช่วงเตรียมสอบที่เหล่านักเรียนจะตื่นประมาณหกโมงเช้า อ่านหนังสือทั้งวัน และพักแค่กินข้าวเท่านั้น พบว่าการนอนเฉลี่ยของพวกเขานั้นแค่ 6 ชั่วโมงครึ่งซึ่งถือว่าน้อยมาก การแข่งเหล่านี้อาจเป็นผลมาจากหลักการของขงจื้อที่เน้นเรื่องการพัฒนาตนเองและการศึกษาอย่างมากแม้หลักขงจื้อนี้จะมีอายุยาวนานกว่า 700 ปีแล้วในเกาหลี แต่ก็ยังมีอธิพลต่อคนเกาหลีอยู่อย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการศึกษา นอกจากนั้นในสมัยยุคโชซ็อนการที่คน ๆ หนึ่งจะยกระดับชีวิตและฐานะของครอบครัวได้นั้น มีหนทางเดียวคือการสอบเข้ารับราชการ ประกอบกับหลังจากสงครามเกาหลีจบลงประชาชนชาวเกาหลีใต้บอบช้ำและยากจนจากพิษสงครามเป็นอย่างมาก หนทางที่เดียวที่จะหลุดพ้นจากความยากจนได้คือการสอบเข้ารับราชกาล หมอ นักกฎหมาย หรือพนักงานของบริษัทชั้นนำเท่านั้น และรัฐบาลในตอนนั้นสนับสนุนโยบายการศึกษาอย่างทั่วถึง เพราะพวกเขาเชื่อว่าการศึกษานั้นจะเป็นหนทางเดียวเช่นกันที่จะพัฒนาประเทศได้จากที่กล่าวมาทั้งหมดเราคงไม่แปลกใจหากซูอาจะพยายามอย่างหนักเพื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย และแม้กระทั่งยอมรับทุนจากบริษัทชางกาศัตรูของแซรอยการทำงานและความสำเร็จของคนเกาหลีหลังจากเรียนจบแล้วซูอาก็เข้าทำงานที่บริษัทชางกาที่ในเรื่องบอกเราว่าเป็นบริษัทอาหารอันดับหนึ่งของเกาหลี เธอทำงานในตำแหน่งของผู้จัดการ ได้รับเงินเดือนที่สูง และสามารถที่จะซื้อบ้านและรถได้อย่างที่เธอต้องการ แม้เธอจะต้องเจ็บปวดหัวใจทุกครั้งเมื่อเห็นแซรอยถูกกลั่นแกล้ง ถูกชางแดฮีดูถูกเหยียดยาม และต้องแข่งขันกับแซรอย แต่เธอก็ไม่อาจลาออกเพื่อมาอยู่ข้าง ๆ แซรอยได้นี่เป็นภาพสะท้อนที่อย่างมากของการทำงานและความเชื่อเรื่องความสำเร็จของคนเกาหลี การทำงานที่ทุ่มเทอย่างแทบไม่หยุดย่อนของคนเกาหลีนั้นเป็นที่เลื่องลืออย่างมาก พนักงานของเกาหลีทำงานเฉลี่ย 2,193 ชั่วโมง หรือราว ๆ 8 ชั่วโมง 40 นาทีต่อวัน ซึ่งตัวเลขยังต่ำกว่าความเป็นจริงด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นอาจเป็นผลมาจากการที่เกาหลีใต้ดำเนินนโยบายเพื่อความมั่งคั่งทางอุตสาหกรรมมาโดยตลอด เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาประเทศจากประเทศที่บอบช้ำจากสงคราม ซึ่งในอดีตที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ยปีละประมาณ 3 พันบาทเท่านั้น แต่ในปัจจุบันด้วยการเติบโตของธุรกิจอุตสาหกรรมและการส่งออกทำให้ประชากรมีรายได้เฉลี่ยปีละมากกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทยที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ยเพียงแค่ปีละประมาณ 2 แสนบาท นั่นทำให้พนักงานของบริษัทต่าง ๆ ทุ่มเทต่อการทำงานเป็นอย่างมากเพื่อการพัฒนาของประเทศ ซึ่งคนเกาหลีมักจะถูกสั่งสอนตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าจงเติบโตไปเป็นนักรับอุตสาหกรรมเพื่อช่วยพัฒนาประเทศ และความทุ่มเท่ของพวกเขาก็ส่งผลให้ทุกวันนี้พวกเขามีรายได้เฉลี่ยที่สูงมากและนี่เองก็เป็นสาเหตุให้คนเกาหลีนั้นนิยาม “ความสำเร็จ” ของพวกเขาว่าจะต้องบุคคลที่ทำงานในบริษัทชั้นนำ หรือหน่วยงานรัฐเพราะเป็นอาชีพที่มั่นคง ผลตอบแทนดีและมีเกียรติ โดยแต่ละปีเกาหลีจะมีบัณฑิตจบใหม่ประมาณ 5 แสนคน แต่มีผู้ที่ได้ทำงานในบริษัทชั้นนำหรือหน่วยงานของรัฐเพียง 1 แสนคนเท่านั้น และสิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกาหลีมีอัตราการแข่งแข่งด้านการศึกษาที่สูงมากด้วยเช่นกันสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมแม้นซูอาเองจะต้องเจ็บปวดมากมายเพียงใดที่จะต้องทนมองแซรอยถูกกลั่นแกล้งและเธอต้องเป็นเครื่องมือในการใช้แข่งขันกับแซรอย แต่เธอเองก็ไม่อาจจะลาออกมาจากบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างชางกาได้ และทำได้แค่รอให้แซรอยทำตามสัญญาที่บอกว่าเขาจะรวยและมาทำให้เธอตกงานเอง เพื่อจะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในที่สุด ซึ่งแม้ว่าสุดท้ายแล้วแซรอยจะรวยและทำให้เธอตกงานได้ในที่สุด แต่เธอเองก็ไม่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับแซรอย เพราะต้องหลีกทางให้กับนางเอกตัวจริงอย่างน้องอีซอ ซึ่งนี่อาจเป็นวัตถุประสงค์สำคัญของซีรี่ส์เรื่องนี้ที่นอกจากจะสะท้อนสังคมของเกาหลีแล้ว ยังต้องการที่จะนำสังคมในด้านต่าง ๆ มากมาย รวมถึงการกล้าที่จะออกจากกรอบคำนิยามความสำเร็จของพวกเขาเองด้วยเชิงอรรถReach for the Sky ฝากฝันไว้ที่ปลายฟ้า การศึกษาและความเจ็บปวดคิม จียองเกิดปี 82 : สังคมชายเป็นใหญ่กับเรื่องไม่ใหม่ในเกาหลีซูนึง (수능).. การสอบเข้ามหาวิทยาลัยสุดโหดของเกาหลี ที่กำหนดความฝันและอนาคตพาส่อง 'ซูนึง' การสอบแอดมิชชั่นที่นับว่าเป็นวาระแห่งชาติของเกาหลี (ปีนี้ไอดอลสอบเพียบ!)ทัศนคติการทำงานแบบ จีน–ญี่ปุ่น-เกาหลีคนเกาหลีทำงานหนักแค่ไหนเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆรูปภาพหน้าปก Linkรูปที่ 1: link 1รูปที่ 2: link 2รูปที่ 3: link 3รูปที่ 4: link 4