ไปอินโดนีเซียกันเถอะ สวัสดีนักอ่านทุกคน วันนี้เราจะมาเล่าประสบการณ์ การไปยืนอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิท ที่นั่นก็คือ ภูเขาไฟโบรโม่ ประเทศอินโดนีเซีย นั่งก็จะเสียว ๆ หน่อย ทริปนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมดสามชีวิต เป็นทริป 4วัน 3 คืนที่คุ้มมาก ๆ การเดินทางจะไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปโบรโม่เลย เราต้องบินไปลงสนามบินสุราบายา ซึ่งเราเลือกบินจากสุวรรณภูมิไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์ แล้วบินต่อไปลงสุราบายา แล้วนัดให้ไกด์มารับที่สนามบิน เพื่อตรงไปต่อที่โบรโม่ ตอนนั้นเครื่องลงเวลาสองทุ่ม ไกด์ ( เราเรียกไกด์ว่า uncle Jan ) มารอรับพร้อมชูป้ายชื่อยังกับมารับดารา และเดินทางต่อไปโบรโม่ถึงที่พักเที่ยงคืนครึ่ง แล้วไกด์ก็บอกว่าพรุ่งนี้เจอกันตีสองห้าสิบ ห๊ะ!!!! ตีสองห้าสิบหูไม่ได้ยินผิดไปใช่มั้ย เรารีบนอนกันสุดฤทธิ์ แต่ก็นอนไม่ค่อยหลับ เพราะอากาศหนาวมากประมาณ 12 องศากับเวลาที่ไปถึงที่พักก็ดึกมากแล้ว ไหนจะต้องรีบตื่นอีก คืนนั้นได้งีบแปปเดียวนาฬิกาก็ปลุกแล้ว ไปจุดหมายแรกกันเลย - ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ King Kong hill เมื่อต้องปลุกร่างตัวเองมาปิดเสียงนาฬิกาปลุก พร้อมดึงสติให้รีบแต่งตัว เมื่อถึงเวลานัดหมาย uncle jan ไกด์ของเราก็มาปลุกตั้งแต่ ตี 2.50 น. ตรงเวลาสุด ๆ อุณหภูมิตอนนั้น 10 องศา หนาวควันออกปาก พอออกไปหน้าที่พักจะพบว่ามีรถจิ๊บมารอรับอยู่แล้ว เรามุ่งไปยังจุดชมวิวเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น uncle jan เลือกไป King Kong hill เพราะว่าจำนวนนักท่องเที่ยวไม่เยอะเหมือนจุดอื่น แต่วิวก็สวยไม่แพ้กัน เราไปถึงเป็นคันแรก ๆ ไปถึงก็จะเห็นมีคนเอาเสื้อกันหนาวมาให้เช่า มีร้านน้ำชา กาแฟ มาม่า เป็นเพิงเล็ก ๆ ออกมาให้เราได้จิบของร้อน ๆ มีคนมานั่งผิงไฟกับตอนนั้นที่อุณหภูมิ 10 องศาถือว่าฟินสุด ๆ แต่วันนั้นอากาศไม่ค่อยเป็นใจเหมือนฝนจะตก ในใจคิดว่าจะไม่เจอพระอาทิตย์แล้ว แต่สุดท้ายพระอาทิตย์ก็มาให้เราได้ร้องว้าว กับวิวที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้า เพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกายหน่อย ขอร่วมผิงไฟหน่อยครับ ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นเสียงร้องว้าวก็ตามมา จบจากดูพระอาทิตย์ขึ้น เราก็ไปภูเขาไฟโบรโม่จุดมุ่งหมายของทริปนี้ รถจิ๊บจำนวนหลายสิบคันมุ่งหน้าไป โบรโม่ ภูเขาไฟที่ยังไม่หลับไหล ตอนถึงโบรโม่รถจะจอดให้เราเดินขึ้นปากปล่องภูเขาไฟเอง หรือใครขี้เกียจเดินจะขี่ม้าไปก็ได้ ส่วนเราสามคน อยากถ่ายรูปกับม้าเลยจ่ายตังคนละ 100,000 idr หรือประมาณสองร้อยกว่าบาท แต่ถ้าใครอยากเดินก็ไม่ไกลมาก ได้เก็บบรรยากาศระหว่างทางเดินด้วย ( เราขี่ม้ามีคนจูงม้าให้ แต่ก็กลัวมองแต่ข้างหน้าอย่างเดียว ไม่กล้ามองระหว่างทางเลย ตอนกลับเลยให้ม้ากลับมาก่อน ส่วนเราเดินกลับ 555 ) สู้ ๆ นะน้องม้า พอถึงตีนภูเขาไฟก็ลงจากม้าเดินขึ้น เค้าจะมีทางเหมือนบันไดไว้ให้เดิน พอไปถึงปากปล่องภูเขาไฟจะเห็นควันพวยพุ่งออกมาจากปากปล่อง พร้อมเสียงเหมือนเสียงคำรามออกมา มีคนขายดอกไม้ให้โยนลงในปล่องภูเขาไฟพร้อมอธิษฐาน เค้าว่ากันว่าการโยนดอกไม้นั้นเพื่อขอบคุณความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณนั้น ถ่ายรูปสักพักก็เดินทางกลับไปที่รถจิ๊บ บันไดขึ้นลงภูเขาไฟ จบจากโบรโม่เราไปต่อกันที่ Savana และ Whispering sands ( ทุ่งหญ้าสะวันนา และทะเลทรายเสียงกระซิบ ) ซึ่งไม่ไกลจากภูเขาไฟโบรโม่ ทุ่งสะวันนาที่เห็นภูเขาเขียวกับหญ้าสีเขียวตัดกับเฟิร์นสีชมพู ทำให้ภาพที่เห็นนั้นน่าตราตรึงใจยิ่งนัก กลับจากทุ่งสะวันมา Whispering sands เป็นทะเลทรายสีดำที่เกิดจากเขม่าภูเขาไฟ เป็นจุดที่ไม่ควรพลาดในการเก็บรูปไว้เป็นความทรงจำเลยทีเดียว ส่วนเราก็ถ่ายรัว ๆ ทุ่งสะวันนาสดชื่นมากกก Whispering sand จบทริปวันที่สองเราย้ายที่พักไปจุดหมายใหม่ คือ คาวาอีเจียน เราออกจากที่พักที่โบรโม่ตอน 11 โมง ระหว่างทางเราแวะ Madakaripura waterfall หรือน้ำตก มาดาการิปุระ ถึงน้ำตกตอนเที่ยง เราต้องนั่งรถมอเตอร์ไปกับไกด์ท้องถิ่น แล้วเดินต่อไปยังน้ำตกที่สูงมาก ๆ ที่พลาดไม่ได้เลยตอนไปถึงที่นี่ คือ เสื้อกันฝน เพราะไม่เช่นนั้นคุณจะเปียกแบบไม่เหลืออะไร แต่วันนั้นฝนตกด้วยแม้ว่าใส่เสื้อกันฝน แต่เราก็เปียกไม่เหลืออะไรเหมือนกัน ระหว่างทางเดินไปน้ำตกจะได้ยินเสียงน้ำไหล ตลอดทาง ต้นไม้เขียวชะอุ่ม สวยมาก เป็นที่ที่ไม่ควรพลาดอีกแล้ว เสียใจที่ตอนนั้นฝนตกเลยไม่ได้เอากล้องไปเก็บภาพมาไว้เป็นที่ระลึก หลังจากเปียกปอนจากน้ำตก เราเดินทางต่อไปยังคาวาอีเจียน สถานที่สุดท้ายของทริปที่โคตรโหด เราไปถึงที่พักตอนสามทุ่มกว่า ๆ จัดการธุระส่วนตัวแล้วเข้านอนเพื่อเตรียม Trekking ไปอีเจียนตอนตีหนึ่ง ด้วยความที่อากาศหนาวมาก เราสามคนต่างใส่เสื้อผ้าหลายชั้นบรรเทาความหนาว พอไปถึงทาง Trekking จะมีไกด์ท้องถิ่นมารอต้อนรับ ระหว่างทางไปอีเจียนสำหรับเราผู้ไม่ชอบออกกำลังกาย มันเป็นทางที่โหดมาก ค่อนข้างชัน เดินไปหยุดไปตลอดทาง เสื้อผ้าหลายชั้นที่ใส่มาเริ่มเป็นภาระ เพราะเราเริ่มร้อนและถอดออกทีละชิ้น ไกด์ให้กำลังใจตลอดทางว่าใกล้จะถึงแล้ว ๆ คำว่าใกล้ของไกด์สำหรับเรามันเชื่อถือไม่ได้ ยิ่งเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที ตอนนั้นเหนื่อยมาก อยากจะร้องไห้ 555 นึกแล้วก็ขำ ระหว่างทางเดินยิ่งขึ้นไปสูงขึ้นยิ่งเริ่มได้กลิ่นเหมือนไข่ไก่เน่า แต่ที่จริงมัน คือ กลิ่นกำมะถัน เดินไปเหนื่อยไป คนแล้วคนเล่าที่เดินแซงเราไป เดินได้ไปสักระยะนึงจะมีร้านให้นั่งเล่น ขาย ชา กาแฟ เครื่องดื่มต่าง ๆ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนร้านนั้น คือ สวรรค์ ได้นั่งพักกับได้นั่งทบทวนว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ สุดท้ายไกด์ก็บอกเราอีกครั้งว่าใกล้ถึงแล้ว เราเลยฮึดสู้เดินต่อ พอไปถึงปากปล่องภูเขาไฟ ยังไม่จบค่ะต้องเดินลงปล่องไปเลยเพื่อไปดูแสงที่คล้ายจะเป็นเตาแก๊ส สำหรับเราตอนนั้น เหม็นมาก เหนื่อยมาก อยากจะร้องไห้อยู่ในปล่องภูเขาไฟ แต่เมื่อฟ้าเริ่มสว่างเห็นอะไรชัดขึ้น ภาพที่อยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นทะเลสาบสีฟ้า ตัดกับเปลวไฟสีเหลืองทำให้รู้สึกคุ้มแล้วว่ะ กับการเดินมาถึงจุดนี้ ด้วยความที่ตอนเราขึ้นมายังมืดอยู่ ตอนกลับลงไปเริ่มสว่างแล้ว เราเลยเห็นธรรมชาติข้างทางที่สวยสุด ๆ จนต้องพูดว่าที่นี่ก็พลาดไม่ได้เหมือนกัน คาวาอีเจียน สวยคุ้มเหนื่อย ^^ กลับจากคาวาอีเจียน เราเช็คเอ้าท์จากที่พักแล้วเดินทางกลับสุราบายา เพื่อไปพักที่นั่นหนึ่งคืนก่อนตีตั๋วเครื่องบินกลับบ้านในตอนบ่ายของวันที่4 สรุปค่าใช้จ่ายของทริปนี้ คนละ 1,900,000 idr หรือประมาณ 4,200 บาทต่อคน ราคานี้รวมไกด์ อาหารเช้า ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ไม่รวมค่าทิป อาหารกลางวัน อาหารเย็น ค่าม้าและค่าเครื่องบิน ซึ่งถูกแพงขึ้นอยู่กับช่วงนั้น ๆ ขอบคุณรูปสวย ๆ จากเพื่อนร่วมทริป ที่ไปร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน ปิดด้วยรูปหมู่ละกัน