ข้ามกันไปฝั่งตะวันตกกันในดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องเสรีภาพอันดับหนึ่ง ตามติดกันกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอมเริกา นอกจากจะตื่นเต้น เป็นที่น่าจับตามองมาก ๆ เพราะตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจอำดับหนึ่งอย่างสหรัฐอเมริกาย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้การเมือง เศรษฐกิจ รวมไปถึงวิกฤติที่เรากำลังพบเจอกันทั่วโลกอย่างโควิด-19 โจ ไบเดน ( Joe Biden , 77 ปี ) จากพรรคเดโมแครต ( Democrat ) เอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง 273 คะแนน เกิน 270 ตามเกณฑ์การเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งเขาจะเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ในเดือน มกราคมปีหน้าในอีกไม่กี่เดือน แม้ว่าหลาย ๆ คนจะทราบมาบ้างว่าเขานั้นเคยดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเคียงข้างประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของอเมริกาอย่างบารัก โอมาบา กลายมาเป็นคนคอยคิดสนับสนุนนโยบายต่าง ๆ ช่วงบารัก โอบาม่าดำรงตำแหน่ง ก่อนการเมืองจะเปลี่ยนขั้วมาในสมัยโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง นโยบายอเมริกามาก่อน ( America First ) ถูกกลายมาเป็นตัวชูโรง ทั้งการถอนตัวจากองค์กร WHO หรือการขู่จะตัดงบ UN รวมไปถึงการถอนตัวจากข้อตกลงปารีสที่จะร่วมมือในเรื่องปัญหา Climate Change และอื่น ๆ ที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ได้หันมาเอาใจคนอเมริกาก่อนเป็นสิ่งแรก จนทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐกับฝั่งยุโรป และเอเชียแปซิฟิกก็เหมือนจะลดทอนลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การได้เข้ามาของประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง โจ ไบเดน ทำให้เราเห็นความหวังว่าเขาจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กลับคืน ในช่วงที่โลกพบกับปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อหลายประเทศทั้งทางทะเลและอากาศ ปัญหาผู้อพยพในตะวันออกกลางก็ยังน่าเป็นห่วง ยิ่งในช่วงที่โควิดระบาดแบบนี้ ทำให้หลาย ๆ ประเทศมัวแต่สนใจประเทศตัวเองจนหลงลืมว่ามีคนที่ยังติดอยู่ในพื้นที่ที่มีความรุนแรง ความสัมพันธ์ในยุโรปกับสหรัฐคาดว่าจะได้ทำการรื้อฟื้น และอาจจะเป็นตัวประสานระหว่างอังกฤษที่พึ่งออกจากสหภาพยุโรป EU อีกด้วย ความร่วมมือระดับนานาชาติที่ทรัมป์ได้ก้าวออกห่างอาจจะกลับมารื้อฟื้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โจ ไบเดนต้องรีบแก้ไขให้เร็วคงไม่พ้นเรื่องวิกฤติโควิด สหรัฐอเมริกายังน่าเป็นห่วงในเรื่องของยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุด แถมการร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกที่ทรัมป์ได้ถอนตัวออกและไม่ได้มีทีท่าในการจะกระตือรือร้นหรือเป็นผู้นำในการหาทางออกในเรื่องนี้ หากดูได้จากการที่ในสหรัฐยังยึดเรื่องเสรีภาพ ยังมีการชุมนุมประท้วงเรื่องการใส่หน้ากาก รวมไปถึงประธานาธิบดีทรัมป์ที่ไม่ได้เป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิต New normal รวมไปถึงการออกไปในที่สาธารณปราศจากหน้ากากอนามัย จึงทำให้หลาย ๆ คนคาดหวังว่าประธานาธิบดีคนใหม่จะสามารถรับมือและมีมาตรการบรรเทาวิกฤติในครั้งนี้ ซึ่งโจไบเดนได้หาเสียงโดยสัญญาถึงการพัฒนาศูนย์วิจัยโควิด และชุดตรวจฟรีที่ต้องมีให้พร้อมในทุก ๆ รัฐ รวมถึงกฏที่เข้มงวดมากขึ้นในการใส่หน้ากากเพื่อควบคุมยอดผู้ติดเชื้อ ซึ่งต่างจากโดนัลด์ ทรัมป์ที่เน้นไปเรื่องการหาวัคซีน แต่ไม่ได้ชัดเจนเกี่ยวกับการควมคุมเชื้อแต่อย่างใด ในกระแสโลกที่หยุดชะงักมาเกือบ ๆ ปีท่ามกลางปัญหาโรคระบาด เศรษฐกิจซบเซารวมไปถึงการเมืองภายในประเทศของแต่ละประเทศ สหรัฐอเมริกายังคงเป็นที่น่าจับตามองในฐานะที่เราเป็นพันธมิตรเก่าแก่ การรักษาความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจระดับโลกย่อมหมายถึงผลประโยชน์ของชาติ อย่างไรก็แล้วแต่ในวาระการทำงาน 4 ปีข้างหน้านโยบายของโจ ไบเดนน่าจะทำให้หลาย ๆ ประเทศจับตามองอย่างสนอกสนใจ ต้องติดตามกันต่อไป สุดท้ายก็ขอแสดงความยินดีกับโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนต่อไปค่ะ ! เครดิตรูปภาพ : หน้าปก / 1 / 2 / 3 / 4 บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจของนักเขียน : Suga Yoshihide ซูงะ โยชิฮิเดะ 🇯🇵จากลูกชาวไร่สู่..นายกญี่ปุ่นคนใหม่ มารู้จักประเทศ ซูดาน (Sudan) ในหลายมุมที่คุณยังไม่รู้ 🌍 ทันโลก ทันข่าวสารเพียงมี App TrueID โหลดเลย ฟรี!