ท่ามกลางการระบาดของ Covid 19 (ซึ่งต่อไปนี้ผู้เขียนจะเรียกว่าโควิด) และการประกาศ พรก.ฉุกเฉิน รวมทั้งมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทำให้ผู้เขียนเองก็ต้องอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติและทบทวนหลายเรื่อง ในหลายเรื่องนั้นมีเรื่องที่เห็นว่ามีประโยชน์ต่อผู้อ่านเห็นควรแบ่งปันได้แก่ 1. จัดทำพินัยกรรมชีวิต เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผู้เขียนนึกถึงเนื่องจากก่อนที่จะเกิดโรคระบาดจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่หรือโควิดไม่นานนัก พี่ชายของผู้เขียนซึ่งอายุมากกว่า 70 ปีแล้วได้ป่วยเข้าโรงพยาบาลด้วยไข้หวัดธรรมดาแต่ความที่อายุมากและมีโรคประจำตัวหลายโรคจึงติดเชื้อนิวโมเนียเป็นปอดบวมเกิดภาวะหายใจด้วยตัวเองไม่ได้ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและรักษาตัวในห้องไอซียูร่วมสัปดาห์จึงออกจากโรงพยาบาลได้แต่ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเช่นเดิม พอเกิดเหตุโรคระบาดมากมายดังที่เห็นในข่าวโดยเฉพาะที่ต่างประเทศจึงทำให้ผู้เขียนคิดถึงว่าพินัยกรรมชีวิต (Living Will) เป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะเป็นสิทธิ์ของผู้ป่วยในวาระสุดท้ายที่สามารถแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับการบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดการตาย ซึ่งสิทธิ์ข้อนี้ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ซึ่งในส่วนผู้เขียนเองได้แสดงเจตนาไม่รับการยืดชีวิตด้วยการใส่ท่อหายใจหรือเจาะคอเพื่อช่วยเรื่องหายใจ ผู้อ่านสามารถอ่านรายละเอียดได้จาก พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ขอบคุณภาพจาก pexels 2. จัดทำพินัยกรรมทรัพย์สิน เนื่องจากอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน ที่เห็นในข่าวมีผู้เสียชีวิตจากโควิด แม้จะอายุน้อย การที่เจ้ามรดกเสียชีวิตแล้วไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากสำหรับผู้อยู่ข้างหลัง ไม่ว่าเจ้ามรดกจะมีทรัพย์สินมากน้อยแค่ไหนก็ควรจัดทำพินัยกรรมโดยระบุชื่อผู้จัดการมรดกไว้ด้วยซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ผู้อ่านสามารถอ่านบทความเรื่องนี้ได้ที่ เคล็ดลับพินัยกรรมอย่างง่ายทำได้ด้วยตัวเอง ขอบคุณภาพจาก pexels 3. ทบทวนเงินสดสำรองและประกันสุขภาพ ผู้เขียนเองเคยได้ศึกษาเรื่องการวางแผนการเงินว่าคนเราควรสำรองเงินสดหรือเทียบเท่าเงินสดไว้ 3 - 6 เดือนของค่าใช้จ่ายต่อเดือน แต่เมื่อครั้งน้ำท่วมปี 2554 บ้านของผู้เขียนก็ถูกน้ำท่วมต้องอพยพไปอยู่ต่างจังหวัดตอนนั้นพบว่าเพื่อความปลอดภัยในคุณภาพการครองชีพควรมีเงินสดสำรอง 6 - 12 เดือนของค่าใช้จ่ายต่อเดือน ไม่ใช่ 3 - 6 เดือน และถ้าฐานานุรูปอำนวยควรสำรองที่ 12 เดือนจะดีที่สุด การที่โควิดระบาดครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำว่าการสำรองเงินสดที่เหมาะสมคือ 6 - 12 เดือน นอกจากนี้หากผู้อ่านพอจะจัดสรรงบประมาณมาทำประกันสุขภาพได้ก็จะช่วยเหลือตัวเองได้มากเพราะในภาวะวิกฤติโรงพยาบาลรัฐมีเตียงไม่พอ หากใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพของรัฐถ้าไม่ฉุกเฉินจริงจะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทั่วไปไม่ได้ต้องใช้ตามที่ตนมีสิทธิ์เท่านั้นซึ่งอาจไม่มีเตียงเพียงพอ ขอบคุณภาพจาก pexels 4. ทบทวนการทำงานที่บ้าน ในภาวะที่ประกาศ พรก.ฉุกเฉินหลายบริษัทขาดรายได้อาจถึงขั้นต้องปิดตัว พนักงานหลายคนต้องตกงานและไม่สามารถหางานใหม่ได้ การหารายได้จากการทำงานที่บ้านหรือที่เรียกว่าทำงานออนไลน์ก็เป็นช่องทางหนึ่ง อย่างผู้เขียนเองเป็นทนายความมีรายได้จากการว่าความ รับปรึกษากฎหมาย เจรจาไกล่เกลี่ย แต่ในภาวะที่ทุกคนต้องใช้มาตรการ Social Distancing ก็ทำให้ไม่มีคนมาใช้บริการแบบเจอตัวมีแต่โทรศัพท์มาปรึกษาซึ่งส่วนใหญ่ผู้เขียนก็จะให้คำปรึกษาฟรี แต่ผู้เขียนก็มีรายได้จากการเขียนงานส่ง TrueID ซึ่งนอกจากจะมีรายได้จากการเขียนบทความแล้วยังเป็นการพัฒนาฝีมือการเขียนจากการที่มีทีมบรรณาธิการคอยตรวจงาน จึงขอเชิญชวนผู้อ่านมาเป็นนักเขียนกับ TrueID กัน ขอบคุณภาพจาก pexels 5. ทบทวนการตื่นรู้ภายในจากการฝึกสติ ผู้เขียนได้เคยฝึกปฏิบัติธรรมในรูปแบบตามแนวสติปัฏฐาน 4 แต่ที่ใช้ในชีวิตประจำวันคือรู้กายรู้ใจแต่ก็ไม่ละเอียด พอโควิดระบาด มาตรการที่ต้องใช้คือห้ามใช้มือจับหน้าจนกว่าจะใช้เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ รวมถึงห้ามใช้นิ้วมือกดลิฟต์ จับประตูต้องใช้ไหล่เปิดแทน ฯลฯ ทำให้ผู้เขียนได้ฝึกตามรู้อาการที่เรียกว่าอิริยาบถย่อย รวมทั้งได้ฝึกมองโลกอย่างเข้าใจว่า "อะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน" และฝึกวางใจว่า "แล้วมันก็ผ่านพ้นไป" ผลจากโควิดแน่นอนว่ากระทบต่อชีวิตประจำวันแต่เราทุกคนก็สามารถใช้โอกาสนี้ฝึกใจของเราไม่ให้กระเทือนได้ หวังใจว่าผู้อ่านจะได้อาศัยช่วงเวลานี้ทบทวนชีวิตให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..แล้วมันจะผ่านพ้นไป เรื่องโดย ทนายน้อยหน่า ขอบคุณภาพปกจาก pexels