หลายครั้งที่การท่องเทียวคนเดียว ทำให้เกิดมิตรภาพใหม่ ๆ และหลายครั้ง มิตรภาพที่ดี ก็มาจากโรงแรมที่เราใช้พักอาศัย ครั้งนี้ก็เช่นกัน เราเลือกพักในโฮสเทลที่มีห้องรวมแบบหญิงล้วน 4 เตียง วันนั้นเป็นวันแรกที่คนเข้าพักครบทั้ง 4 เตียง ประกอบด้วยสาวน้อยชาวเหอหนาน สาวอวบแห่งฮาร์บิ้น สาวใหญ่จากอันฮุย และเรา--->สาวไทยวัยวินเทจ หลังจากไปเที่ยวด้วยกันมาในช่วงกลางวัน เราทั้ง 4 คน ตัดสินใจหาร้านอาหาร เพื่อทานอาหารเย็นร่วมกัน 1 มื้อ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามจุดหมายปลายทางของแต่ละคน ซึ่งทุกคนลงความเป็นตรงกันว่าอยากทานอะไรที่เป็นของท้องถิ่น เช่น อาหารขึ้นชื่อ หรือเมนูที่ต้องห้ามพลาด เป็นต้น เราปล่อยให้สาวจีนทั้ง 3 คน เป็นคนค้นหาข้อมูล และเลือกร้านอาหาร และจากนั้นไม่นานทั้งสามก็ได้มาเรามายังที่ที่นี่ ร้านชื่อว่า ถู่ซือกู่เยี่ยน 土司古宴 เมื่อเดินเข้ามาในร้าน จะเห็นการตกแต่งที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งชนเผ่าฮาหนี เป็นการเล่าประวัติความเป็นมา รวมไปถึงการทานอาหารแบบโต๊ะยาวที่ขึ้นชื่อของที่นี่ การแสดงโชว์ระบำชนเผ่า เป็นต้น ในร้านนอกจากจะให้บริการในด้านอาหารแล้ว ท่านสามารถสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเหล้าขาว เหล้าหมัก ฯ ตบท้ายด้วยการจัดให้มีมุมสำหรับนักดื่มชา การเลือกอาหาร เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะทั้ง 3 คน แม้ว่าจะเป็นคนจีนด้วยกัน แต่ก็เลือกและมีข้อจำกัดในด้านการกินหลายอย่างเช่นกัน จนได้ข้อสรุปมาอย่างที่เห็นในรูปภาพ เมนุไข่เจียวแบบจีน ๆ ที่คนจีนสั่ง ยำผักท้องถิ่น รสชาติฉุน ๆ แต่เราชอบมาก อร่อยมาก ส่วนใหญ่เป็นเราคนเดียวที่ทานจนหมด ปลานึ่งราดพริก อร่อยมาก หอมกลิ่นเครื่องเทศ ไม่คาวเลย หน้าตาเหมือนเฟรนช์ฟราย แต่จริง ๆ แล้ว มันคือข้าวทอด ใส้กรอกเลือดผสมข้าวล้วน ๆ ไม่ปรุงรสใด ๆ เลย จานนี้เราทานแทนข้าวได้เลย (เบลอหน่อยนะคะ มีแค่รูปเดียว) ซุปสาหร่ายใส่หมู เอาไว้ซดร้อน ๆ คล่องคอดีจริง ๆ ค่ะ ในขณะที่ทานอยู่ก็มีนักแสดงของทางร้านมาร้องเพลงอวยพรเป็นภาษาฮาหนีค่ะ อาหารมื้อนั้น อาจจะไม่คุ้นลิ้นทุกคนมากนัก แต่เมื่อทานไปด้วย แลกเปลี่ยนทัศนคติระหว่างกันไปด้วย หันกลับมาอีกที จานนั้นก็เหลือแต่เศษผักและกระดูกแล้ว หลังจากทานข้าวกันจนอิ่มหนำสำราญ เราตัดสินนั่งดื่มชากันต่อ โดยมีพนักงานสาวมาชงชาให้ชิม หากอร่อยจนติดใจ ก็สามารถซื้อใบชาติดมือกลับบ้านได้ด้วย ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน : Prissana Choy