ชัยชนะแบบท่วมท้นเหนือลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ 1-4 ทำให้ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แข่ง 22 นัดเก็บเพิ่มเป็น 50 คะแนนทิ้งห่างแมนยู , เลสเตอร์ และลิเวอร์พูล ถึง 5 , 7 และ 10 คะแนนตามลำดับ แถมยังแข่งน้อยกว่าทีมเหล่านี้ 1 นัด ตามทฤษฎียังถือว่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ยังเปิดกว้างยังเหลือให้ลุ้นกันอีกหลายนัด แต่ในทางปฏิบัติแฟนบอลหลายทีมแทบยกธงขาวไปแล้วเพราะฟอร์มของเรือใบช่างแรงเหลือเกิน นับแค่ในลีกชนะรวดมา 9 นัดเก็บไป 7 คลีนชีต จนดูเหมือนไม่น่ามีใครตามทัน แต่สงครามยังไม่จบ! ยังมีอีกหลายสัญญาณที่จะสามารถทำให้ลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสทำแชมป์ปลิวหลุดมือ เรียกว่าบอลลูกกลม ๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ - 3 นัดอันตราย หลังโปรแกรมเอฟเอ คัพ รอบ 5 กับสวอนซี แมนซิตี้มีโปรแกรมหนักในพรีเมียร์ลีก 3 เกมรวด เริ่มจากเปิดบ้านรับ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ที่ได้แฮร์รี่ เคน กลับมาแล้ว ต่อด้วยเยือน เอฟเวอร์ตัน และนัดสำคัญกับ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์ สเตเดียม เท่านั้นยังไม่พอนัดที่เหลือยังมีเกมใหญ่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด , เลสเตอร์ซิตี้ , ลีดส์ ยูไนเต็ด และเชลซี ที่มีศักยภาพมากพอที่จะแบ่งแต้มจากเรือใบได้รออยู่ หากใน 3 นัดสำคัญข้างหน้าพลาดท่าสะดุดอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญส่งผลกับฟอร์มในช่วงท้ายฤดูกาลที่เหลือได้ - โปรแกรมชุกกว่าคู่แข่ง การถูกเลื่อนโปรแกรมจากปัญหานักเตะติดโควิด-19 ทำให้แมนซิตี้มีแมตช์ถูกเลื่อนมาแข่งกันใหม่ถูกยัดเข้าไปในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เดือนนี้ที่มีเพียง 28 วัน แต่ทีมของกวาร์ดิโอล่าต้องเตะถึง 8 แมตช์ทั้งพรีเมียร์ลีก , เอฟเอ คัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เฉลี่ยแล้วเตะ 3.5 วันต่อแมตช์ สภาพความกรอบนักเตะมีผลไม่มากก็น้อย แฟนบอลคู่แข่งจับตาดูกันให้ดีอาจมีเฮ - เดอบรอยน์ยังไม่กลับมา อาการเจ็บกล้ามเนื้อของเพลย์เมคเกอร์คนสำคัญ เควิน เดอ บรอยน์ ตั้งแต่ปลายมกราคม และมีแนวโน้มว่าจะยังขาดผู้เล่นตัวเก่งของทีมตลอดทั้งกุมภาพันธ์ที่มีโปรแกรมอัดแน่นแบบสุดโหด แม้เกมที่ไม่ได้ลงสนามจะยังเก็บชัยชนะได้ แต่ประสิทธิภาพโดยรวมยังไงการมีเดอบรอยน์อยู่ในทีมสร้างความอุ่นใจได้มากกว่าเยอะ และจำเป็นต้องมีตัวหมุนเวียนในช่วงโปรแกรมเตะถี่ยิบ การขาดนักเตะที่ทำไปแล้ว 10 แอสซิสต์ในลีกระยะยาวต้องดูกันว่าจะส่งผลอะไรบ้าง - ลิเวอร์พูลยังคงน่ากลัว แม้ว่าเพิ่งจะชนะหงส์แดงอดีตแชมป์เก่าไป 1-4 แต่ช่องว่างคะแนนยังประมาทไม่ได้ และการได้กองหลังใหม่ โอซาน คาบัค และ เบน เดวี่ย์ มาอุดรอยรั่ว ทำให้ผู้เล่นอย่างฟาบินโญ่ และเฮนเดอร์สัน คนใดคนหนึ่งหรือทั้ง 2 คนได้กลับไปเล่นมิดฟิลด์ตามถนัด ประสิทธิภาพเกมรุกลิเวอร์พูลจะกลับมาทันที หากทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไปสะดุดโปรแกรมในเดือนนี้สัก 2 นัด แล้วลิเวอร์พูลที่เจอเลสเตอร์ , เอฟเวอร์ตัน , เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ชนะนัดที่เหลือของเดือนนี้ได้ทั้งหมด ช่องว่างจะเหลือแค่ไม่กี่แต้ม โมเมนตั้มความมั่นใจจะพลิกสลับขั้วมายังฝั่งแอนฟิลด์ทันที ไม่มีใครกล้ากาชื่อลิเวอร์พูลออกจากการลุ้นแชมป์ - ต้องเล่นแบบกดดัน การเล่นในฐานะทีมนำคนละอารมณ์กับช่วงที่ยังมีแต้มไล่ตามแมนยู สายตาทุกคู่ , ความคาดหวัง กดดันนักเตะให้อาจเล่นแบบหลุดฟอร์ม เป็นเรื่องยากที่จะรักษามาตรฐานในระดับสูงไปได้ทุกนัดจนจบฤดูกาล และช่องว่างคะแนนยังถือว่าเปิดกว้างให้หลายทีมมีโอกาสขยับแต้มขึ้นไปอยู่โซนบนหัวตารางถ้าพลาดขึ้นมามีทีมรอเสียบเพียบ ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นับว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อกับการต้องรักษาตำแหน่งจ่าฝูงให้มั่นคงไม่หลุดมือ จากปัจจัยเหล่านี้ พรีเมียร์ลีกยังไม่จบ ขอชี้ว่าภาพทุกอย่างจะชัดเจนหลังผ่านโปรแกรมเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งทุกทีมจะเข้าสู่ทางตรงร้อยเมตร 10 นัดสุดท้าย ตอนนั้นการลุ้นแชมป์ระหว่างเรือใบ , ผีแดง , จิ้งจอก และหงส์แดงจะขับเคี่ยวกันอย่างสนุกอุณหภูมิร้อนฉ่าเข้มข้นจนถึงนัดท้าย ๆ แฟนบอลทุกทีมเตรียมใจรอลุ้นทีมรักกันแบบหัวใจสูบฉีด แล้วกลับมาติดตามเรื่องราวในแวดวงกีฬาน่าสนใจแบบนี้กันได้อีกครับ.. ไฮไลท์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 2020/21 สัปดาห์ที่ 23 ลิเวอร์พูล พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภาพประกอบโดย ภาพปก : Manchester City / Premier League Official : ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 ช่องดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ และกีฬาชั้นนำทั่วโลก >> คลิกที่นี่ ดูบอลพรีเมียร์ลีกฟรี ทุกสัปดาห์ ผ่านทาง ID Station >> คลิกที่นี่ ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดทุกแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี!