แนะวิธี สร้างรายได้จากการประกวดพูด สำหรับโลกที่เปิดกว้างไร้พรมแดนอย่างทุกวันนี้ การสร้างรายได้จึงไม่ใช่เรื่องที่อยู่ไกลตัวอีกต่อไปโดยเฉพาะนักเรียน นิสิต นักศึกษา วัยนี้เป็นวัยที่สามารถสร้างรายได้ได้อยู่ที่ว่าจะลงมือทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง อาชีพที่วัยนักเรียนนักศึกษาส่วนมักจะทำนั่นคือการขายสินค้าออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องสำอางแบบต่าง ๆ ซึ่งก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สามารถใช้เทคโนโลยีที่อยู่รอบตัวหรืออยู่ในชีวิตประจำวันให้สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองได้ หรืออย่างวัยนักศึกษานอกจากการขายสินค้าออนไลน์แล้ว งานที่มักจะทำกันก็คือการหารายได้จากงานพาร์ทไทม์ที่จ่ายค่าแรงเป็นแบบชั่วโมง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้ช่องไหนก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสุจริตด้วย วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักกับอีกหนึ่งช่องทางการหารายได้จากการพูด โดยเฉพาะวัยนักเรียน นักศึกษา เพราะปัจจุบันวัยนี้มีช่องทางในการประกวดมากกว่าวัยอื่น ๆ ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่าไม่ว่าเราจะเป็นนักพูดหรือไม่ก็ไม่ต้องใส่ใจในเรื่องนั้นเพราะถ้าไม่มีครั้งแรกก็จะไม่มีครั้งต่อไป หรือพูดง่าย ๆ ว่าไม่มีใครเป็นนักพูดมาตั้งแต่แรกเกิด ทุกคนล้วนต้องฝึกฝนกันทั้งนั้น และก็ใช่ว่านักพูดจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ไม่เคยฝึกมาเลยเสมอไป เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ต้องกลัวอะไรและไม่ต้องคิดว่าสู้อยู่กับใคร ให้คิดเสียว่าเรากำลังเอาชนะใจตัวเองก็เพียงพอภาพประกอบที่ 1 เริ่มแรกในการประกวดพูดคือ การหาเวทีให้กับตัวเอง หลาย ๆ คนอาจจะยังหาเวลาไม่เป็นซึ่งการหาเวทีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เสิร์ชใน Google “ประกวดงานพูด” เว็บแรกที่ปรากฏ คือ ประกวดพูด | Contest War เมื่อเรากดไปยังเว็บไซต์นี้แล้ว เราจะเห็นได้เลยว่ามีรายการประกวดการพูดอะไรบ้าง จากนั้นให้เราศึกษารายละเอียดของการประกวดหลัก ๆ คือ ดูว่าหมดเขตไปหรือยัง ถ้าหมดเขตแล้วรายระเอียดอื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องดู หากยังไม่หมดเขตก็ดุรายละเอียดอื่น ๆ เช่น ช่วงอายุที่รับสมัคร หากศึกษารายละเอียดกว้าง ๆ แล้ว ก็เลือกว่าสนใจหรือไม่ หากสนใจก็จำเป้นต้องอ่านรายละเอียดที่โครงการแนบมานั้นให้ครบทุกหน้า และสามารถหาเวทีประกวดได้จากเว็บไซต์อื่น ๆ เพิ่มเติมได้อีกด้วยภาพประกอบที่ 2 หลังจากที่ได้เรื่องและรายละเอียดแล้ว แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูลในเรื่องนั้น ๆ จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะทำความเข้าใจกับหัวข้อ เพราะต่อให้พูดดีแค่ไหน หากพูดไม่ตรงประเด็นก็อาจจะเสียโอกาสไปได้ง่าย ๆ ฉะนั้นการศึกษาหาความรู้ในเรื่องเนื้อหาและหัวข้อนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งภาพประกอบที่ 3 การเขียนโครงร่างหรือผังความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูด เช่น หัวข้อเรื่องคือประชาธิปไตย เราจะสื่อสารออกมาอย่างไร เขียนเป็นโครงร่างหรือหัวข้อใหญ่ ๆ ไว้ว่ามีประเด็นอะไรบ้าง เช่น อาจจะเป็นความหมายของคำว่าประชาธิปไตย องค์ประกอบ ตัวอย่าง ประโยชน์ วิธีการปฏิบัติตนเพื่อสร้างความเป็นประชาธิปไตย เป็นต้น เมื่อเขียนหัวข้อที่จะพูดแล้วก็จะทำให้เรามองเห็นภาพรวมของเรื่องได้ภาพประกอบที่ 4 การเขียนเนื้อเรื่อง เขียนเนื้อเรื่องตามองค์ประกอบที่วางแผนไว้และต้องเขียนเป็นลำดับขั้นโดยคำนึงถึงความต่อเนื่องสัมพันธ์กัน โดยในขั้นนี้จะต้องศึกษาความรู้ในแต่ละหัวข้อจากแหล่งความรู้อื่น ๆ ประกอบด้วย ซึ่งจะต้องไม่คัดลอกผลงานของผู้อื่น แต่หากมีความจำเป็นต้องกล่าวถึงต้องให้ที่มาของข้อความนั้น ๆ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าให้เครดิตนั่นเอง เช่น เราใช้บทกลอนของผู้อื่นในการเปิดเรื่องหรือใช้ในส่วนอื่น ๆ ก็ตาม อาจให้เครดิตโดยใช้คำว่า “จากบทประพันธ์ข้างต้น เป็นผลงานของ....” เป็นต้นภาพประกอบที่ 5 ทดลองพูดแบบจับเวลา เมื่อเราได้เนื้อหาที่จะพูดแล้ว สิ่งต่อมาคือการพูดโดยจับเวลาเพราะในการแข่งขันย่อมมีการกำหนดเวลาในการพูด บางเวทีอาจเคร่งเรื่องเวลาถึงขนาดที่ว่าหากเวลาน้อยกว่าหรือมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดจะปรับตก ฉะนั้นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้จึงเป็นการเขียนบทให้พอดีกับเวลาที่กำหนด หากสคริปต์ที่เราเขียนน้อยกว่าหรือมากกว่าเวลาก็ต้องปรับให้มีความพอดีภาพประกอบที่ 6 ขั้นการตรวจทาน ขั้นนี้คือการส่งต่อบทความหรือสคริปต์ที่เราเขียนขึ้นให้กับผู้อื่นที่ไว้ใจช่วยตรวจทานหรืออาจใช้วิธีพูดให้เพื่อนฟัง เพราะบางอย่างเราอาจจะเข้าใจแต่ผู้ฟังไม่เข้าใจก็อาจเป็นได้ ฉะนั้นทางที่ดีจึงควรให้ผู้อื่นเป็นผู้ช่วยวิจารณ์ และในขั้นนี้เราก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนคำบางคำที่เราออกเสียงไม่ได้หรือออกเสียงติดขัดโดยใช้คำอื่นแต่ยังคงความหมายโดยรวมไว้แบบเดิมเพื่อให้เกิดความลื่นไหลในขณะพูด และหากปรับเรียบร้อยแล้วต้องไม่ลืมที่จะซ้อมใส่เวลาอีกครั้งเพื่อรักษาเวลาภาพประกอบที่ 7 การซ้อม การประกวดพูดผู้พูดจะต้องซักซ้อมตามบทของตนเองให้ดี จำบทให้ได้ และฝึกพูดให้เป็นธรรมชาติ เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึก อารมณ์ ให้สอดคล้องกับเรื่องในขณะที่ประกวดจริง ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ก็อย่าได้เป็นกังวลเพราะหากเรากล้าที่จะไปยืนบนเวทีในการประกวดพูดก็นับว่าเราได้ประสบการณ์อันล้ำค่า และกล้าที่จะสื่อสารต่อหน้าผู้คนเป็นจำนวนมาก จึงเรียกได้ว่าเป็นการหาประการณ์ที่คุ้มค่า หากได้รับรางวัลนอกจากจะสร้างรายได้ให้กับตนเองแล้ว ยังได้ผลงานที่เป็นประจักษ์สามารถนำไปประยุกต์ในการสัมภาษณ์ทุนการศึกษาต่าง ๆ หรือสัมภาษณ์เพื่อรับรางวัลขององค์กรในด้านที่เกี่ยวข้อง หรือแม้แต่เป็นผลงานในการสมัครเข้าทำงานในที่ต่าง ๆ เพราะทักษะการพูดก็สามารถสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้ เช่น การทำหน้าที่เป็นพิธีกร หรือการนำเสนอผลงานขององค์กร เป็นต้น สำหรับเทคนิคพิเศษของผู้เขียนนั่นคือ การซ้อมจนกระทั่งสามารถพูดได้อย่างลื่นไหล เป็นธรรมชาติ ยิ้มแย้มอยู่เสมอ เว้นแต่ช่วงที่บทพูดถึงความรุนแรงหรือเรื่องที่เศร้า โกรธ เราจำเป็นจะต้องแสดงออกให้สอดคล้องกับบทอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะทำการซักซ้อมเป็นอย่างดีแต่เมื่อยืนอยู่บนเวทีจริงก็มักจะประสบปัญหาการลืมบทท่อนสั้น ๆ อยู่เสมอ ผู้เขียนแก้ปัญหาโดยการไม่แสดงออกถึงการเสียอาการเช่น การหัวเราะ การแสดงออกถึงท่วงท่าถอนหายใจแบบสิ้นหวัง เป็นสิ่งที่ไม่ควรแสดงออกบนเวที ผู้เขียนพยายามที่จะแสดงออกให้น้อยที่สุดว่าลืมบทและจะพูดในหัวข้อถัดไปหรือบทที่นึกขึ้นได้ในทันทีแม้ว่าอาจจะไม่ตรงตามที่เขียนไว้ก็ตาม หากเป็นเวทีที่ต้องพูดฉับพลันจะสมมุติหัวข้อขึ้นเองหรือคาดเดาจากบริบทของหัวข้อรอบแรกแล้วเรียบเรียงว่าหากได้หัวข้อฉับพลันในกรอบเรื่องนี้จะพูดถึงประเด็นอะไรบ้างสุดท้ายนี้ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่อยากเดินทางสายการประกวดพูดทุกคน ให้หมั่นฝึกฝนตนเองและต้องให้โอกาสตนเองด้วยการสร้างประสบการณ์บนเวทีจริง บางคนอาจจะแพ้มา 100 ครั้ง เพื่อรอชนะในครั้งที่ 101 และฉันเชื่อว่าคุณทำได้...ขอบคุณรูปภาพ : ภาพหน้าปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7