คลิปของ TED Talks นอกจากจะมีคลิปที่ให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติมากมายให้เราได้เลือกเรียนรู้แล้ว ยังมีคลิปที่บรรยายโดยคนไทยหลายคลิปที่ให้ความรู้ได้ไม่แพ้กันเลยทีเดียว เนื่องจาก TED เองมีนโยบายที่จะแผ่ขยายเจตนารมณ์ “Ideas Worth Speading” ของเขาให้เข้าถึงผู้คนในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก จึงได้ให้มีการจัด TEDx ขึ้นเพื่อตอบสนองเจตนารมณ์นี้ ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เคยขออนุญาตในการจัด TEDx ซึ่งได้จัดมาหลายต่อหลายครั้งแล้วเหมือนกัน บทความนี้จึงได้รวบรวม TED Talks ที่น่าสนใจจากผู้พูดที่เป็นคนไทยมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจไปกับความสามารถของคนไทยที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาติใดในโลกเลย มีคนไทยที่เก่ง ๆ มากมายแต่เราอาจจะไม่รู้จักพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งผมได้รวบรวมมาให้ผู้อ่านทุกท่านแล้ว แต่หากอ่านแล้วยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มก็คลิกไปที่ชื่อคลิปเพื่อเขาไปดูวีดีโอเต็มได้เลยครับ1. ชีวิตช่างแสนเรียบง่าย ทำไมเราทำให้มันแสนยาก | โจน จันใด ถือเป็น TED Talks ของคนไทยที่มีคนดูมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ซึ่งพูดโดยปราชญ์ชาวบ้านอย่างคุณโจน จันใด โดยเขาได้บรรยายคลิปนี้เป็นภาษาอังกฤษอีกด้วย เขาได้มาเล่าว่าจริง ๆ แล้วชีวิตมันเป็นเรื่องง่ายมาก แต่ทำไมเราถึงทำให้มันเป็นเรื่องยาก โดยเขาได้เล่าว่าวัยเด็กเขาเกิดในหมู่บ้านที่ยากจนแต่ว่าเขาก็รู้สึกมีความสุขดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่มีทีวีเข้ามาบอกว่าเขาเป็นคนจน และต้องออกไปไล่ล่าความสำเร็จจนเขาต้องเข้ากรุงเทพ เขาเล่าถึงชีวิตที่แสนลำบากในกรุงเทพ ที่ต้องเรียนอะไรที่ยาก ๆ ในมหาวิทยาลัยและต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้ชีวิตที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ เขาได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทั้ง ๆ ที่ทำงานอย่างหนักขนาดนี้แต่ทำไมชีวิตยังยุ่งยากแบบนี้อยู่ เขาผิดหวังอย่างมากจึงตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายที่บ้านเกิด ทำนา ปลูกผัก เลี้ยงปลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเลี้ยงดูคนในครอบครัวได้ถึง 6 คนเลยทีเดียวด้วยชีวิตในแบบที่เรียบง่าย และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชื่นชอบก็คือเขาได้เปรียบเทียบว่าเพื่อนของเขาที่เรียนเก่งที่สุดต้องใช้เวลานานถึง 30 ปีเพื่อทำงานผ่อนบ้าน แต่เขาใช้เวลาเพียง 3 เดือนในการสร้างบ้านดินและไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสินอีกด้วย บางทีชีวิตของคนเราสมัยนี้อาจมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดก็เป็นได้ “ชีวิตเป็นเรื่องง่าย แต่ทำไมเราถึงทำให้มันยาก”2. โปรดเรียกฉันด้วยนามอันแท้จริง | นิติ ชัยชิตาทร คุณนิติ ชัยชิตาทร ชื่อนี้หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเท่าไร แต่หากพูดว่าป๋อมแป๋มจากรายการเทยเที่ยวไทยชื่อนี้หลายคนคงรู้จักดี ใน TED Talks นี้เธอได้เล่าถึงประสบการณ์การเป็นเพศที่ 3 ของเธอว่าตลอดช่วงเวลากว่าสี่ทศวรรษมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร จากแรก ๆ ที่ผู้คนยัดเยียดข้อกล่าวหาต่าง ๆ นา ๆ ให้เพศที่ 3 อย่างเป็นโรคจิตบ้าง เป็นโรคเอดส์บ้าง จนมาสุ่ยุคหลังที่ยอมรับเพศทางเลือกมากขึ้น ก็ถูกยกย่องให้เป็นกลายเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา ผู้คนมักจะไม่เข้าใจเพศที่ 3 เพราะมีความรู้เกี่ยวกับพวกเขาน้อย เธอเล่าว่าเพศที่ 3 ถูกมองว่าเป็นตัวละครสมทบมาโดยตลอด คนใหญ่คนโตที่เป็นแบบนี้ก็ไม่สามารถแสดงตัวให้ชัดเจนได้ การที่คน ๆ หนึ่งถูกแปะป้ายว่าเป็นเพศที่ 3 มักจะถูกระบุจากลักษณะของการมีเพศสัมพันธ์ แต่คนเราไม่ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับเรื่องนี้ มันจำเป็นขนาดที่ต้องแปะป้ายว่าเป็นเพศที่ 3 เลยหรือ และการแปะป้ายนี้มันทำให้ตรรกะทางศีลธรรมพังทลายลงอีกด้วย อย่างเช่น ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคนจะถูกมองว่าเจ๋ง ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคนจะถูกมองว่าไม่ดี ส่วนเกย์มีเพศสัมพันธ์กับหลายคนมองว่าปกติ ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีทั้งหมดไม่ใช่หรือ หากผู้คนคิดเช่นนี้ การแต่งงานจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีจนกว่าจะรู้ว่าใครแต่งกับใคร ความรักจะไม่ใช่สิ่งสวยงามจนกว่าจะรู้ว่าใครรักกัน แล้วแบบนี้หลักศีลธรรมที่ถูกต้องคืออะไรกันแน่3. ความจริงจริงๆ | นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ คุณเต๋อ นวพล ธํารงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับภาพยนตร์ที่โด่งดังอย่าง ฮาวทูทิ้งและฟรีแลนซ์ เขาได้มาพูดเกี่ยวกับการใช้สติในการเสพสื่อในยุคปัจจุบัน โดยเขาบอกว่าจริง ๆ แล้วคนเราทุกคนมีความเป็นผู้กำกับอยู่ซึ่งก็คือการที่เราเลือกมุมมองที่เราต้องการสื่อสารให้คนอื่นเห็น อย่างการที่เราโพสต์สิ่งต่าง ๆ ลงโซเชียลมีเดีย เราก็มักจะเลือกแต่สิ่งดี ๆ มาลงให้คนอื่นเห็นเท่านั้นและในทางกลับกันสิ่งที่เราเห็นจากโซเชียลมีเดียของคนอื่น เขาก็พยายามตัดต่อให้ทุกคนเห็นว่าตัวเองมีชีวิตที่ดี ซึ่งเบื้องหลังชีวิตดี ๆ นั้นเขาอาจจะกำลังเจอปัญหาอยู่ก็ได้ แต่เขาเลือกที่จะให้คนอื่นเห็นเพียงด้านเดียว คุณเต๋อแนะนำว่าอย่าหลงเชื่อข้อมูลจากภาพนิ่งหรือคลิปวีดีโอที่ได้เห็นในสื่อออนไลน์ง่าย ๆ เพราะสิ่งที่ถูกเผยแพร่มานั้นมันเป็นแค่มุมมองด้านเดียวจากคนที่ถ่ายและยังเลือกมาเพียงช่วงเวลาเดียวอีกด้วย บางทีคลิป 3 นาทีที่เราเห็นอาจมาจากเหตุการณ์ 3 ชั่วโมงก็ได้ ซึ่งหากเราได้ดูเพียงเท่านี้ก็ไม่อาจสามารถตัดสินจากสิ่งที่กำลังดูได้เลยแต่สิ่งที่เราทำทุกวันนี้กลับไม่ใช่อย่างนั้น นอกจากนั้นสิ่งที่เราดูจะส่งผลต่อความรู้สึกยังไงก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้เผยแพร่ด้วย ผ่านแคปชั่น ผ่านการตัดต่อ ผ่านการเล่าเรื่อง ฉะนั้นก่อนที่เราจะหลงเชื่อหรือกดแชร์ เราต้องพยายามใช้สติดูให้ช้าลง ฟังให้ช้าลง และคิดอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อจะได้ไม่ถูกชักจูงได้ง่าย ๆ 4. พลังแห่งความคิด(ไร้)สาระ | วินัย ชัยรักพงศ์ คุณวินัย ชัยรักพงศ์ ได้พูดถึงเรื่องพลังความความคิดไร้สาระ เขาบอกว่าตลอดอาชีพการเป็นนักออกแบบ เขาใช้พลังของความคิดไร้สาระนี้สร้างผลงานที่สุดสร้างสรรค์มากมาย เขาได้อธิบายว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบังคับให้เกิดได้ การที่จะทำให้มันเกิดได้ต้องเริ่มจากสร้างความน่าจะเป็นขึ้นเยอะ ๆ ซึ่งก็คือการสร้างกลุ่มก้อนของความคิดจำนวนมาก ๆ ยิ่งมากเท่าไรโอกาสที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์ก็จะมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือคิดแบบไร้สาระ เพราะความคิดที่ไร้สาระมันไม่มีถูกผิด ไม่มีการตัดสินใด ๆ แต่กลุ่มก้อนความคิดไร้สาระพวกนี้จะไม่สามารถพัฒนามาเป็นความคิดสร้างสรรค์ได้เลยถ้าไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า“ปัญหา” หากในกลุ่มก้อนความคิดไร้สาระพวกนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถตอบโจทย์ปัญหา มันก็จะพัฒนาเป็นความคิดสร้างสรรค์ทันที มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ตรงที่เราสามารถคิดไร้สาระได้ แต่สิ่่งนี้กลับถูกลดทอนไปตามวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นอย่ากลัวที่จะตั้งคำถามโง่ ๆ และอย่าพยายามตัดสินความคิดไร้สาระของคนอื่นเพราะความคิดนั้นอาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนโลกก็ได้5. ถอดความเทพพนม | พิเชษฐ กลั่นชื่น คุณพิเชษฐ กลั่นชื่นได้อธิบายว่าประเทศของเราดำเนินความคิดทุกอย่างด้วยวัฒนธรรมและความเชื่อ และเราก็ตัดสินทุกอย่างด้วยสองสิ่งนี้ ในการบรรยายเขาได้ทำสิ่งที่แหกวัฒนธรรมความเชื่อสุด ๆ โดยการให้ผู้ร่วมฟังบรรยายโยนรองเท้าขึ้นมาบนเวที จากนั้นนำมันมาวางบนหัวและดำเนินการพูดต่อไป และเขาก็อธิบายว่าบางคนอาจจะคิดว่าสิ่งที่ทำนี้ไม่เหมาะสม แต่อะไรหล่ะที่ทำให้เราตัดสินว่าไม่เหมาะสม ก็วัฒนธรรมนั่นแหละ ซึ่งความจริงที่เกิดขึ้นคือทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะทำแบบนั้น แต่การที่เราตัดสินว่าไม่เหมาะสมเป็นเพราะวัฒนธรรม และวัฒนธรรมยังทำให้เราตัดสินสิ่งต่าง ๆ อย่างไร้ซึ่งเหตุผลด้วย เพราะแทนที่จะตัดสินว่าหัวเป็นของสูงไม่ควรเอาอะไรต่ำ ๆ ไปวาง การคิดว่ารองเท้ามันสกปรกยังดูสมเหตุสมผลกว่า นอกจากนั้นก่อนจบการบรรยายคุณพิเชษฐยังได้ขอให้ทุกคนที่ชื่นชอบการบรรยายของเขาชูรองเท้าขึ้นด้วย และก็มีผู้คนมากมายชูรองเท้าขึ้นหลังจากจบการบรรยายนี้ เห็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยมของบุคคลเหล่านี้แล้วใช่ไหมครับ ได้ความรู้มากมายไม่ต่างจากดูคลิปชาวต่างชาติเลย นี่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของคนไทยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชาติอื่น สำหรับคนที่ไม่ชอบฟังคลิปภาษาอังกฤษเท่าไรนักก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณนะครับ และหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณรักในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองได้ไม่มากก็น้อย ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube ภาพปก/ภาพที่2/ภาพที่3/ภาพที่4/ภาพที่5/ภาพที่6/ขอบคุณภาพประกอบจาก pexels ภาพที่1/ภาพที่7/