บทความนี้เราอยากเขียนให้น้องๆม.ปลายที่สนใจจะเรียนต่อต่างประเทศ ขอย้อนพูดถึงตัวเองในช่วงม.ปลาย ช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่าเราจะเรียนต่ออะไร เราไม่เคยไปสอบ GAT-PAT เลยตอนนั้น จำได้ว่าแค่สอบ SMART-1 เพื่อยื่นคณะบัญชี-บริหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนนี้อาจจะเปลี่ยนระบบแล้วหรือเปล่าไม่มั่นใจเหมือนกัน ซึ่งเราก็ดวงมากบังเอิญเพื่อนส่งลิงค์ของมหาวิทยาลัยหนึ่งในญี่ปุ่นมาให้ดู เป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ เราก็แบบลองดูก็ได้มา! ไหนๆใจไม่ค่อยอยากจะอยู่ไทยอยู่แล้ว ฮ่าๆ เลยลองดูกันซักตั้ง สิ่งแรกสุดเลยที่ต้องทำคือเข้าไปใน Official website ของมหาวิทยาลัย เอาจริงๆมันสำคัญจริงๆนะ อ่านให้ครบทุกอย่างว่ามหาวิทยามีคณะอะไรบ้าง เพราะไม่ใช่ทุกที่ที่มีคณะหมอ รัฐศาสตร์ ต้องอ่านดีๆ Application ที่ต้องส่งมีอะไรบ้าง ใช้คะแนน TOEIC/TOELF หรือเปล่า กำหนดเท่าไหร่ เกรด ช่วงเวลารับสมัคร ซึ่งทางเว็บไซต์จะเขียนไว้ละเอียดอยู่แล้ว ดูว่าเรามีเวลาเตรียมตัวเท่าไหร่ ที่เราจะไปเพิ่มในสิ่งที่เราไม่มีให้มันครบ ทีนี้เราจะขอพูดในส่วนของสิ่งต่างๆที่สำคัญหรือเป็นทริคดีๆ เวลายื่นเอกสาร หรือเพิ่มโปรไฟล์ของน้องๆเอง 1. การเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ (General Essay)คำถามสามารถเป็นไปได้หลายแนวมาก แต่จะนี้ไม่พ้นทำไมอยากเข้ามหาวิทยานี้ อยากเข้าคณะอะไร และเพราะอะไร ถ้าเป็นคำถามประเภทนี้อยากให้ทำการ Research เกี่ยวกับตัวมหาวิทยาลัยก่อน ว่าเขามีข้อเด่นอะไรตรงไหน อย่างตอนที่เราเขียนเรารู้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ มีหายชาติมาก แล้วเค้าก็มีกิจกรรมสำหรับแต่ละประเทศให้ทำ เค้าดูเน้นเรื่อง Diversity เราเลยเขียนในเชิงเราอยากอยู่ใน Multicultural Environment เพราะเราจะได้เจอเพื่อจากหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรม ภาษา ซึ่งเราหาไม่ได้ในไทย มันช่วยให้เราได้เปิดมุมมองเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในอนาคตถ้าเราได้ทำงานเราจะมีความเข้าใจคนจากนานาประเทศมากขึ้นด้วย อยากให้คิดเป็นภาพใหญ่ลงมา เช่นทำไมอยากเข้ามหาวิทยาลัยจะให้อะไรเราได้บ้างเราจะให้อะไรกลับไปได้บ้าง 2. การเขียนเรียงความภาษาอังกฤษสำหรับขอทุนโดยเฉพาะ (Specific Essay)ซึ่งคำถามจะเป็นในเชิงว่าทุนนี้จะช่วยอะไรเราได้บ้าง อยากให้น้องๆจินตนาการว่าเขาต้องอ่านเรียงความของคนหลายคนมากๆ อย่าเล่นดราม่า! แบบที่บ้านยากจน ทุนนี้จะช่วยให้หนูมีการศึกษาที่ดีขึ้น บลาๆ คือมันไม่ได้ช่วยอะไร อยากให้เขียนเป็นเชิงบวกมากกว่า เช่นทุนนี้จะช่วยให้แบ่งเบาภาระของคุณพ่อคุณแม่ของเราเอง และเราสามารถที่จะทำให้เราเองนั้นสามารถโฟกัสกับการเรียนได้มากขึ้น จะได้ไม่ต้องแบ่งเวลาไปทำงานพาร์ทไทม์ ซึ่งอันนี้เราก็ต้องรีเสิร์ชมาว่าเด็กมหาวิทยาลัยที่นั่นใช้ชีวิตแบบไหน แต่สิ่งที่สำคัญทีสุดที่อยากให้เน้นเลยคือ มหาวิทยาให้เงินเราใช่ป่ะ เราจะให้อะไรกลับไปได้บ้าง อย่าคิดแค่ตัวเองคนเดียว เราสามารถให้อะไรกับสังคมได้บ้าง มันอาจจะไม่จำเป็นที่ต้องเกี่ยวกับเงินเสมอไป นึกว่าเราเรียนจบเราจะมีความรู้ต่างๆ เราสามารถใช้ความรู้เราทำอะไรให้คนอื่นอีกมากมาย 3. เคยทำกิจกรรมเสริม อย่าลืมโชวออกมา (Extra curricular/activities)เราว่าเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญมาก สำหรับสมัครมหาวิทยาลัยต่งประเทศ มันโชว์ว่าเราไม่ได้เรียนอย่างเดียวนะ กิจกรรมอย่างอื่นเราก็ทำด้วย เพราะฉะนั้นเขาจะขอดู Portfolio เราว่าเราทำอะไรมาบ้าง แต่ก็อาจจะไม่ใช่ทุกที่ที่ขอนะ เราขอพูดเคสที่ขอดูละกัน ถ้าน้องที่อยู่ม.4 แล้วยังไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมอะไรคือเริ่มได้เลยนะ กิจกรรมในโรงเรียน ไปแข่งอะไรมาบ้าง อาสาสมัครที่ไหนบ้าง กิจกรรมนอกโรงเรียนก็ทำได้ เคยไปอาสาสมัครอะไรบ้างไหม มีรูปประกอบจะดีมาก หรือใบประกาศ หรือใครเคยไปแลกเปลี่ยนต่างๆนี่ก็จะดีมากๆ อยากให้ใส่ไปให้เยอะๆ เราเคยคุยกับน้องคนนึงที่เรียนอยู่ห้องธรรมดา ไม่ใช่เด็กห้องพิเศษ คุณครูไม่เคยเรียกให้ไปแข่งอะไรเลย ตรงนี้เราอยากให้น้องๆไปทำกิจกรรมข้างนอกเองเลย เก็บขยะ บริจาคเลือด งานอาสาต่างๆที่เราจะทำได้ หรือกีฬาสีเราทำอะไร มันได้หมดเลย ไม่อยากให้มองว่าต้องแข่งแค่อะไรที่มัน Academic เท่านั้น 4. ภาษาดีมีชัยไปกว่าครึ่งอันนี้สำคัญมาก ถ้ารู้ว่าเราขาดสกิลไหน ยังไม่สายที่จะพัฒนาตัวเอง! เพราะอาจจะต้องมีการสัมภาษณ์ ซึ่งเราก็ต้องโชว์ทักษะการพูดของเรา การสอบวัดระดับภาษา เราไม่รู้ว่าน้องๆฝึกภาษากันแบบไหนกันบ้างแต่เราเริ่มจากเพลงและหนัง ช่วยมาก อีกทีคือหักดิบลองไปอยู่ต่างประเทศแบบระยะสั้นก็ได้ เราเชื่อว่าภาษามันพาเราไปไหนได้เยอะมาก ถ้าเราคิดที่จะไม่อยู่ไทยไปตลอดนะ ฮ่าๆ สุดท้ายนี้ ถึงน้องๆที่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศ เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยน้องๆที่เข้ามาอ่านบ้าง เพราะตอนเราสมัครเราก็ไปอ่านเจอของรุ่นพี่คนนึงเหมือนกัน แล้วก็มันก็ช่วยเรามากๆในการเตรียมตัว เตรียมเอกสารต่างๆ คนที่กำลังคิดจะสมัครอยู่ตอนนี้ ถ้าใจเราได้ อะไรเราก็ทำได้!! เราเห็นมากับตัวเอง