ออกเดินทางท่องเที่ยว เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในมุมมองที่แตกต่าง .. แม้เคยมาที่บ้านผาฮี้ สองสามครั้งแล้ว แต่เหมือนยังมีอะไรคาใจให้ค้นหา จนต้องหยิบกระเป๋าใส่เสื้อผ้ามาอีกหน มาดูกันว่าการมาครั้งนี้จะแตกต่างจากคราวก่อนๆ ยังไง แต่ที่แน่ๆ คือรอบนี้นอนโฮมสเตย์ ค้างที่หมู่บ้าน .. เช่ารถที่สนามบิน ขับลัดเลาะหลายโค้ง กว่าจะถึงเกือบพลบค่ำ ถึงโค้งขวา สุดท้ายสู่บ้านผาฮี้ เย็นนี้มีสายรุ้งพาดกลางหุบเขามารอรับ พร้อมเจ้าของที่พักที่จัดแจงเอากระเป๋าเข้าห้อง ส่วนเราขอดื่มด่ำกับบรรยากาศให้หายเหนื่อยจากการเดินทางก่อน บริเวณที่พักที่จองไว้พักเป็นเสมือนศูนย์กลางหมู่บ้านที่ใครผ่านไปผ่านมาทักทายกัน อันนี้ถือว่าวัดดวง เพราะไม่รู้ตำแหน่งที่ตั้้งของที่พัก หน้าตาเป็นยังไง มันก็ท้าทายไปอีกแบบนึงนะ หลังจากยืนสูดอากาศเย็นสบายให้คลายเหนื่อย ก็เข้าที่พัก ดูที่หลับที่นอน เข้าห้องน้ำเสร็จ ก็ออกมากินข้าว เราเลือกที่จะไม่ยกมากินหน้าห้อง แต่เดินไปกินข้างบน กลางชุมชน เผื่อเจอผู้คนให้ทักทาย สำรับอาหารถิ่นจัดไว้ที่ชานบ้าน พอเห็นถึงกับตะลึง อาหารราว 10 อย่างล้นสำรับ เราคงต้องสู้สึกกับอาหารมื้อนี้อย่างหนักหน่วง ทั้งปลาทอด น้ำพริกมะเขือ อาข่า ผัดยอดฟักแม้ว หมูย่าง ยอดผักผัดไข่ แกงจืดฟัก ยำรากชู ในแบบอาข่าสไตล์ กินพร้อมบทสนทนาที่ออกรส ทำให้รู้ตัวอีกทีเกือบสามทุ่ม พี่ที่บอกว่าจะพาเราชมรอบหมู่บ้านคงรอไม่ไหวแล้ว กินข้าวเสร็จ เงยหน้ามองท้องฟ้า โอ้โห!! .. ดาวเยอะมาก นี่ขนาดหมู่บ้านเปิดไฟกันเป็นระยะ ดวงดาวนับล้านยังโดดเด่น ชวนให้เราเดินเงยหน้าชื่นชม เห็นลานดาดฟ้าของบ้านหลังนึง น่าจะเหมาะเจาะกับการเอนตัวนอนลงชมดาว ด้วยคำของพี่ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ที่นี่ทุกร้านกาแฟจะให้นักท่องเที่ยว เข้าไปเยือนได้ เราก็ถือวิสาสะเข้าไปเยือน ดาวสุกไสว ดาวตก สายลมพัดพลิ้วให้เย็นผิวกาย ท่ามกลางอากาศราว 20 องศา เพลิดเพลินมากจนรู้สึกตัวอีกที เอ้า!!! เที่ยงคืนกว่าแล้ว เดินกลับห้องพัก พบวงสนทนาของหมู่บ้าน น่าจะหารือการบ้านการเมือง วงใหญ่ ชายล้วน ทักทายเราในฐานะนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ให้ความรู้สึกปลอดภัย ไม่ให้หวาดกลัวใด ๆ อาบน้ำอาบท่า ล้มตัวลงนอนบนฟูก ห้องนี้นอนกัน 4 คน และน่าจะราว ๆ ตีสาม ไก่ เจ้าถิ่นของหมู่บ้านทำการร้องยกใหญ่ เอก อิ เอิ๊ก เอ๊ก ...🐓 ด้วยความเพลีย เราก็หลับบ้าง ตื่นบ้าง (พอรุ่งเช้าเราจึงได้ฟังคำบอกเราของชาวบ้านว่าไก่ที่นี่ ขัน 3 เวลา คือ หนึ่ง ราวๆ เที่ยงคืน คือเตือนเรา นอนได้แล้ว สองคือราวตีสาม ดึกละนะ นอนๆๆๆ และสามรุ่งเช้า เช้าแล้วนะ ตื่นกันเถอะ) ไก่จ๋า🐔 อยากบอกว่า ตื่นตั้งแต่เอ้ก แรกละจ้า ช่างเป็นคอนเทนท์ที่ทำให้เคืองเจ้าไก่ที่มาปลุกไม่ลงเชียว แง้มประตูไม้ไผ่ของห้องพักเพื่อจะสูดอากาศยามเช้า แล้วเราก็ต้องตะลึง ทะเลหมอก คุณพระ!! ปิดประตูทันใด ล้างหน้า เปลี่ยนชุด กล้อง พร้อม รีบออกไปชื่นชม นักท่องเที่ยวยังเบาบาง เราแวะร้านโน้น บ้านนี้ เพื่อหามุมที่เหมาะ ๆ คำเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน แม้เราจะไม่ใช่ลูกค้าของเค้า สร้างความประทับใจมิใช่น้อย ว่าเราคือแขกของบ้านผาฮี้ ไม่ใช่แขกของที่พักใดที่พักหนึ่ง อันนี้ประทับใจมากค่ะ พอสาย นักท่องเที่ยวเริ่มออกจากห้องนอนหนาตามาขึ้น แต่หมอกยังคงรอคอยนักท่องเที่ยวที่พักค้างบนดอย ให้ได้ตื่นตากันถ้วนทั่ว แวะคุยหาความรู้เรื่องกาแฟ คั่วเข้ม คั่วกลาง คั่วอ่อน แต่ละบ้านจะมีความเชี่ยวชาญอธิบายได้อย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นสิ่งที่เค้าคลุกคลีมายาวนาน บ้านผาฮี้ส่งกาแฟกะลาเพื่อไปสู่ขั้นตอนผลิตต่อไปถึง 200 ตันต่อปี ในอดีตที่นี่ดำรงชีพด้วยการปลูกกาแฟถึง 90% แต่ในปัจจุบัน มีเรื่องการท่องเที่ยวเข้ามาแชร์สัดส่วนบ้าง ราว ๆ 30% แต่ยังคงยืดหยัดเรื่องปลูกกาแฟส่งออก และนำผลผลิตกาแฟมาเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวโดยการเปิดร้านกาแฟไปในแต่ละมุมของหมู่บ้าน ชอบแบบไหน เข้มอ่อน มาลิ้มลอง หรือซื้อเมล็ดกาแฟไปคั่วบด ดริปเองที่บ้านได้เลย☕ อิ่มเอมใจกับสายหมอกแล้ว กลับมากินอาหารเช้า ข้าวต้มหมู ใส่ไข่ต้ม ความพิเศษคือเรื่องราวของไข่ไก่สีขาว คำบอกเล่าที่ว่า ไม่ได้หากินกันง่ายๆ ต้องจองล่วงหน้า ทำให้เรา หันกลับมาฮือฮา และให้ความสำคัญกับไข่ที่อยู่ตรงหน้าทันที กินหมดเกลี้ยงให้สมกับคุณค่า ทีแรกว่าจะเข้าบ้าน กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด แต่ที่ไหนได้ มีพี่ใจดีบอกจะพาชมหมู่บ้าน เราไปเริ่มกันที่ป้ายหมู่บ้าน ทุกสิ่งในป้ายมีความหมายที่บ่งบอกตัวตน อาชีพของคนที่นี่ ตอนนี้บ้านผาฮี้มีร้านกาแฟราวๆ 10 ร้าน ที่สำคัญคือที่นี่ไม่อนุญาตให้คนต่างถิ่นมาจับจองมาเปิดร้านค้า ดังนั้น เจ้าของร้านแต่ละร้าน จึงเป็นคนที่นี่โดยแท้ คนที่รักถิ่นฐานและบ้านของตัวเอง ดีงามมากๆ เลย ชอบจัง ซึ่งแต่ละร้าน มีมุมให้ชมวิวที่แตกต่างกัน รับรองเลยว่าสวยงามทุกมุม เลือกชื่นชมได้เลย จากร้านหลัก ๆ ที่มีอยู่เดิม น่าจะใช้สีของร่มเป็นสัญลักษณ์☂️⛱ ซึ่งก็น่าจะดีเพราะเวลานัดหมายกัน จะไม่หลงแน่นอน ภาพจำของที่นี่ น่าจะเป็นร้านร่มเขียว มุมที่แทบทุกคนต้องมามีภาพถ่ายกลับไปเป็นความทรงจำ .. หรือร้านร่มแดง ก็จะได้วิวข้างหน้าเป็นหุบเขา มองเห็นภาพทั้งหมู่บ้าน สีร่มต่อมาที่เราเห็นคือ ร่มขาว ร่มม่วง ต่อ ๆ ไปน่าจะมีอีกหลากสีให้เราได้เลือกหลบมุม จิบกาแฟ แลดอย ในแบบของเรา.. พูดถึงที่พัก แทบทุกร้านกาแฟจะมีที่พักไว้ให้บริการ เป็นแบบเล็ก ๆ ที่ละ 4-5 ห้อง สนนราคาส่วนใหญ่จะเท่ากันคือ 750 ต่อคนต่อคืน ราคานี้จะรวมอาหารเย็น (สุดอลังการ) และมื้อเช้า พร้อมกาแฟดริปให้จิบกัน แต่จะมีบางที่ ห้องดีหน่อย ก็จะราคา 800บาท/คน/คืน จะไม่เกินไปกว่านี้ และที่สำคัญ จะหักเข้ากองกลาง 50 บาท ไว้บำรุงหมู่บ้าน คราวนี้มีโอกาสได้นั่งรถไปด้านหลังหมู่บ้าน ชมโรงโรงคั่วกาแฟ ช่างเป็นโรงคั่วที่บรรยากาศดีมากๆ สายหมอกคลอเคลียร์ใบหน้า สุดจะชื่นใจ หันไปบนมองต้นไม้ใหญ่ เห็นเด็กน้อย นอนอ่านหนังสืออยู่ ภาพแบบนี้หาดูได้ยาก ช่างเป็นชีวิตที่ย้อนวันวาน ห่างไกลจากเทคโนโลยี น่าจะได้เวลากลับห้องไปอาบน้ำ อาบท่า ให้เจ้าของที่พักได้เคลียร์ห้องเพื่อรับแขกชุดใหม่ ได้มามีประสบการณ์เฉกเช่นเรา จบท้ายถึงเวลาร่ำลาบ้านผาฮี้ ยังมีกาแฟดริปอุ่นๆ ให้ดื่มก่อนไป ฝากไว้ทั้งรสสัมผัสแห่งความอร่อย และความทรงจำที่ทรงค่า แม้หมดสิ่งที่ค้างคาใจ แต่ทำไมฉันยังอยากมาที่นี่อีกนะ ขอบคุณบ้านผาฮี้ รีชาร์ทฉันได้อย่างเต็มพลัง 💟