จบลงไปแล้วสำหรับศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีกอังกฤษ นัด เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ ของเมืองลิเวอร์พูล นัดนี้เป็นครั้งที่ 234 (ตามบันทึกอย่างเป็นทางการ) เอฟเวอร์ตัน vs ลิเวอร์พูล จบลงด้วยผลเสมอ 0-0 เจาะไข่กันไม่แตก ตามมาด้วยดราม่ากระหน่ำโซเชียลสำหรับทั้งกองเชียร์กองแช่ง สะเทือนไปถึงโปรแกรมฉลองแชมป์ของพลพรรค หงส์แดง ที่แต่เดิมพวกเค้าหวังว่าจะได้ชูถ้วยแชมป์ใน แอนฟิลด์ สนามของตัวเองในการเปิดบ้านพบกับ คลิสตัล พาเลซ ในสัปดาห์หน้า พอต้องขยับไปอีก 2 นัดหวยไปออกนัดที่ต้องไปเยือน แมนเชสเตอร์ซิตี้ ในต้นเดือนกรกฎาคม เรียกเสียงครางฮือจากแฟนบอลเพราะ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เคยประกาศลั่นว่าไม่มีทางให้ลิเวอร์พูลมาชูถ้วยในบ้านตัวเองแน่ แค่คิดถึงบรรยากาศในนัดนี้ก็สนุกแล้ว ถ้าย้อนกลับไปในนัดแรกที่ทั้งคู่พบกันในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ที่ในขณะนั้นมี 40 คะแนน ห่างจาก เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ขึ้นมาหายใจรดต้นคอเพียง 5 คะแนน เปิดสนามแอนฟิลด์ไล่ถล่ม ท๊อฟฟี่ เอฟเวอร์ตันไปแบบเละเทะ 5-2 จากการเหมา 2 ประตูของ ดิว็อค โอริกี้ และได้ ชากิรี่ , มาเน่ , ไวจ์นัลดุม บวกอีกคนละเม็ด นัดนี้เป็นการฝากรอยแค้นให้ลิเวอร์พูลเก็บสถิติเพิ่มเป็นชัยชนะนัดที่ 93 ในศึก ดาร์บี้ แมตช์ และถีบเอฟเวอร์ตันที่ในขณะนั้นฟอร์มย่ำแย่หล่นลงไปในโซนตกชั้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ไม่แปลกใจที่นัดนี้ที่พบกันจะเห็นเอฟเวอร์ตันมีพลังฮึดสู้ เล่นแบบรัดกุมเน้นเป็นพิเศษ เพราะสกอร์ 5-2 ในนัดแรกเป็นสิ่งที่เหมือนโดนตบหน้า ยังไงนัดนี้ต้องเอาคืน และในเกมนี้ เอฟเวอร์ตัน vs ลิเวอร์พูล เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมามีเกร็ดที่น่าสนใจ หลายคนอาจไม่ทราบว่ามีดราม่าตั้งแต่นอกสนาม ใครที่ได้ชมในช่วงต้นของการถ่ายทอดสดจะได้ยินเสียงแตรดังมาเป็นระยะ นั่นไม่ใช่ซาวด์เสียงเชียร์ ที่ทางฝ่ายจัดการแข่งขันเปิด แต่เป็นเสียงเชียร์จากแฟนบอลทั้ง 2 ทีมที่มารวมตัวกันบริเวณสวนสาธารณะ สแตนลีย์ปาร์ค ด้านนอกสนาม ที่ดังสนั่นเข้ามาในการถ่ายทอดสด จนเจ้าหน้าที่ต้องพยายามควบคุมไม่ให้เกิดการรวมกลุ่มที่จะขัดกับมาตรการควบคุม โควิด-19 กว่าจะเคลียร์พื้นที่จนสงบเล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว กลับเข้ามาในสนาม ก่อนเริ่มเกมนัดนี้มีเซอร์ไพรส์เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนบอลสาว ๆ เมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ ใส่ชื่อดาวเตะหน้าใสจากญี่ปุ่น ทาคูมิ มินามิโนะ ลงเป็น 11 ตัวจริงในตำแหน่งปีกขวาที่แต่เดิมเป็นหน้าที่ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และเค้าสร้างผลงานน่าประทับใจตลอดครึ่งเวลาแรก ก่อนที่ครึ่งหลังเป็นทางด้าน อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ได้โอกาสลงเล่นแทน จนเป็นประเด็นบ่นระงมจากแฟนหงส์แดงว่า ไม่น่าลงมาเลย เพราะไม่มีผลงานเด่นเป็นชิ้นเป็นอันตลอดเกม เช่นเดียวกับ เดยัน ลอฟเรน ที่ได้รับโอกาสลงมาแทน โจเอล มาติป ในนาที 73 และเกือบทำให้ลิเวอร์พูลกลับไปแบบมือเปล่าในนัดนี้เมื่อเสียจังหวะลื่น 2 ครั้งซ้อน จนเกือบเสียประตูในช่วงท้ายเกม เล่นเอากองเชียร์ใจหายวาบ หายง่วงไปตามกัน อีกประเด็นที่ต้องพูดถึงเมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องปวดหัวกับปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บในนัดนี้ถึง 2 คน เริ่มจาก เจมส์ มิลเนอร์ ที่บาดเจ็บบริเวณต้นขาจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกในท้ายครึ่งแรก อีกรายเป็น โจเอล มาติป ที่ดูจะอาการน่าเป็นห่วงว่าต้องพักไปกี่สัปดาห์ และนักเตะที่ลงมาแทนอย่าง เดยัน ลอฟเรน อย่างที่เห็นกันในเกมอยู่แล้วว่าสร้างความเสียวให้กับแฟนบอลเป็นระยะ และเป็นประเด็นที่ผู้คนพูดถึงเรื่องการกลับมาเตะ Restart ในครั้งนี้ว่าสภาพความฟิตของนักเตะยังไม่สมบูรณ์ ทำให้แต่ละทีมเจอปัญหานักเตะบาดเจ็บกันระนาว เกิดคำถามว่า มันคุ้มจริงไหม เมื่อค่าลิขสิทธิ์ที่ได้มาต้องแลกกับนักเตะบาดเจ็บในทีม ข้ามมาทางฝั่งของ เอฟเวอร์ตัน จะไม่ให้เครดิตพวกเค้าได้อย่างไร ต้องชมการวางแผนของ คาร์โล อันเชลอตติ ที่จัดการแนวรุกของลิเวอร์พูลได้อย่างอยู่หมัด โดยเฉพาะแบ็คทั้ง 2 ฝั่งอย่าง ลูก้าส์ ดีญ และ เชมัส โคลแมน ที่ปิดเกมริมเส้นทั้งสองฝั่งของลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้แบบตลอดเกม เป็นสัญญาณว่า เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ ในอนาคตไม่ใช่ของง่ายสำหรับลิเวอร์พูลอีกต่อไป เหลือระยะทางอีกไม่มากเข้าสู่โค้งสุดท้ายของ พรีเมียร์ลีก มีไฮไลท์ที่ต้องตามกันต่อไปว่าลิเวอร์พูลจะได้ฉลองแชมป์นัดไหน แมนยูฯ จะเข้าป้ายที่ 4 ได้หรือไม่ หรือจะมีเหตุการณ์ฝ้าผ่าให้รถแห่ต้องเทกระจาด เป็นเรื่องที่แฟนบอลต้องติดตามลุ้นกันต่อไป ใครที่พลาดชมการถ่ายทอดสด เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ ในนัดนี้ สามารถรับชมไฮไลท์การแข่งขันย้อนหลังจากทรูวิชั่นได้ที่นี่ คลิก! และกดติดตามข่าวสาร รวมถึงตารางการถ่ายทอดสดได้ที่ TrueVisions และ True Sports และกลับมาพบบทวิเคราะห์วิจารณ์กันได้ใหม่ที่ Trueid.net ที่เดิม รับรองว่ามีเรื่องราวน่าสนใจมาฝากกันอีกแน่นอน.. ภาพประกอบจาก sport.trueid.net / ภาพที่ 3