คนที่มักไม่มั่นใจการประเมินตัวเองและลังเลเวลาจะลงมือทำ พวกเราจึงอยากเป็นอย่างคนที่ยึดมั่นความคิดของตัวเองและใช้ชีวิตได้อิสระแต่เพราะเรามีความทะนงตัวเองสูง เราจึงแสดงความรู้สึกนั้นออกมาในรูปแบบของความอิจฉาริษยา เวลาเห็นใครทำสำเร็จก็มักอิจฉาว่า “เขาต้องทำไม่ดีไว้สักอย่างหละ” อีกไม่นานก็ต้องทำพลาด ก็แค่บังเอิญโชคดีนั่นแหละ หรือ ก็เพราะเขามีพรสวรรค์แถมได้ข้อมูลดี ๆ มากกว่าคนอื่นนี่ล่ะ เป็นต้น หรือเวลาที่เพื่อนร่วมรุ่นได้เลื่อนตำแหน่งแซงหน้าไปก่อนตัวเองก็จะคิดว่า “ทำไมหมอนี่ถึงได้เลื่อนตำแหน่งล่ะ” หรือ คนในบริษัทเรานี่ตาบอด ขอบคุณภาพจาก freepik.comสรุปแล้วพวกเขาก็ไม่พยายามทำสิ่งใด ๆ เลย เดิมทีการพยายามก็เป็นเรื่องเหนื่อยยากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเคยพยายามแล้วไม่สำเร็จ ก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ คนพวกนี้จึงเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นแล้วไม่ลงมือทำสิ่งใด ๆ เลย เมื่อเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือมองความพยายามของคนอื่นในแง่ลบ เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าไปเรื่อย ๆ เนื่องจากสังคมของเรามีคนประเภทนี้อยู่มาก ข่าวอื้อฉาวหรือเรื่องโชคร้ายของคนอื่นที่ลงตามนิตยสารหรือฉายทางโทรทัศน์จึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขอบคุณภาพจาก freepik.comมองหาสิ่งที่เราทำได้อย่างเต็มที่เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งความสำเร็จ การจะรู้สึกมั่นใจความคิดหรือวิธีการใช้ชีวิตของตัวเองได้นั้น เราต้องตั้งเป้าหมาย และสั่งสมประสบการณ์แห่งความสำเร็จได้ด้วยตัวเองซะก่อนเพื่อให้เชื่อมั่นว่า “หากตั้งใจเราก็ทำได้” ก่อนอื่นเราต้อง “ค้นหาสิ่งที่ตัวเองทำได้อย่างเต็มที่” จะเป็นงานอดิเรกก็ได้ แต่ต้องทำด้วยความตั้งใจจนกระทั่ง “รู้สึกได้ถึงพัฒนาการของตัวเอง” คนที่ยอมรับหรือตัดใจไม่ได้ง่าย ๆ มักวิจารณ์หรือนินทาคนอื่นเป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็มีความสามารถแต่กลับไม่ทำให้เต็มที่ พอเห็นคนอื่นทำสำเร็จจึงค่อยเกิดอาการลนหรืออิจฉาขึ้นมาว่าฉันไม่ได้ทำได้แค่นี้หรอกนะ ถ้าให้โอกาสสักหน่อย คนแบบนั้นไม่มีทางทำได้ดีกว่าหรอก ปัจจุบันนี้เราแชร์หรือส่งข้อมูลต่าง ๆ ทางอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว การมองเห็นผลสำเร็จของคนอื่นโดยไม่เห็นขั้นตอนการทำงานทำให้ “คนดี” รู้สึกหดหู่ว่าตัวเองไร้ความสามารถ ขอบคุณภาพจาก freepik.comแต่หากเราทำได้บางสิ่งอย่างเต็มที่และสนุกสนานไปกับมัน เราจะมีความสุขเวลาทำสิ่งนั้น และเข้าใจว่า “ความสำเร็จอยู่หลังขั้นตอนการทำงาน” แล้วยอมรับความสำเร็จหรือความสุขของคนอื่นได้ ยิ่งรู้สึกถึงพัฒนาการของตัวเองมากขึ้น เราก็จะมั่นใจว่าตัวเองกำลังประสบความสำเร็จ หากตั้งใจจริงก็ทำได้ แต่การคิดแบบนี้อาจทำให้เรามองข้ามความเป็นจริงไปได้ง่าย ๆ จึงต้องระวังให้ดี เช่น ถ้าเราอยากแต่งงานแต่ไม่มีโอกาสแต่ง จึงหันมาทุ่มเทกับการทำงานแทน เท่ากับว่าเรามีสิ่งที่ตัวเองปรารถนา แต่เพราะไม่อยากยอมรับจึงพยายามหนีจากสิ่งนั้น หรือเพราะงานที่ทำมาถึงทางตัน จึงลาออกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแล้วใช้คำพูดสวยหรูว่าการไปเรียนต่อระดับปริญญาโท “ทำให้ได้เปลี่ยนสภาพแวดล้อมรอบตัว และจะช่วยเปลี่ยนชีวิตของเราให้ดีขึ้นได้” ขอบคุณภาพจาก freepik.comนอกจากนี้บางคนยังอาจพูดว่า เดินทางไปอินเดียเพื่อค้นหาตัวเองจ่ายเงินมากเพื่อเข้าสัมมนาเกี่ยวกับศรัทธาและเคารพจิตวิญญาณของตัวเอง... พฤติกรรมหนีปัญหาแบบนี้เกิดจากการคิดว่าตัวเองไม่ต้องแก้ไขสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่เผชิญอยู่ แต่สภาพแวดล้อมต่างหากที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ความคิดแบบนี้จะส่งผลให้เราเอาแต่พึ่งพาสิ่งที่อยู่ภายนอกไปเรื่อย ๆ ทำให้ไม่มีวันประสบความสำเร็จ เมื่อเป็นแบบนั้นเราก็จะยิ่งวิจารณ์คนอื่นหนักขึ้น จึงควรค้นหาความฝัน ความต้องการ หรือสิ่งที่เราทำได้ดีกว่าคนอื่นให้เจอค่ะ คนที่เลิกทำไม่ได้คือจะอิจฉาคนอื่น ส่วนคนที่เลิกได้จะได้ลงมือทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเต็มความสามารถ เห็นพัฒนาการของตัวเองและมีความมั่นใจมากขึ้นนะคะ...” ขอบคุณภาพปกจาก freepik.com