อาจจะเป็นเพราะผมเองเป็นเด็กติดบ้านมาตั้งแต่จำความได้ กล่าวคือ ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นที่ไหนไกล ๆ เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน เรื่องการไปเที่ยวนี่แทบจะนับครั้งได้ มิต้องพูดถึงกรณีที่หากต้องเดินทางเพียงลำพังในวัยนั้น แม้เพียงระยะทางไม่ไกลก็ยังมิวายมีโอกาสหลงทางสูง สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นความอัดอั้น ที่ทำให้เมื่อเริ่มต้นชีวิตการทำงานหลังจากได้วุฒิการศึกษา ม.ปลาย ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการทำงานเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ผมจึงตกลงใจที่จะโบยบินออกท่องโลกกว้างเสียที ทั้งที่ตอนนั้นก็มีโอกาสเลือกที่จะทำงานในจังหวัดบ้านเกิดได้อย่างไม่ลำบากลำบน ทว่าผมกลับเลือกที่จะไม่รับเอาโอกาสนั้น แต่เลือกคว้าเส้นทางของการออกไปเผชิญโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคย /ภาพโดย Skitterphoto จาก Pixabay / เริ่มจากการเข้าไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงของประเทศไทย วนเวียนอยู่ในกรุงเทพมหานครนับสิบปี จนถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งของชีวิต ที่ยกระดับหน้าที่การงานขึ้นมา ทำให้ก้าวเข้าสู่ลักษณะงานที่มีโอกาสปรับย้ายหมุนเวียนไปทำงานในภูมิภาคต่าง ๆ ผมก็ยังเลือกที่จะไปทำงานในจังหวัดต่าง ๆ ที่มิใช่การย้อนคืนสู่มาตุภูมิ ทั้งที่มีโอกาสทำเช่นนั้นได้ จนญาติพี่น้อง รวมถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพหลายคนเคยเอ่ยปากถาม "ทำไมถึงไม่กลับบ้าน...?" ผมยิ้ม และให้คำตอบด้วยเหตุผลแบบกลาง ๆ ทีเล่นทีจริง นัยว่าเป็นเหตุผลส่วนตัว ประมาณว่าอยู่บ้าน(จังหวัดบ้านเกิด)มาตั้งหลายปีแล้วตั้งแต่จำความได้ เลยอยากหาประสบการณ์ใช้ชีวิตในต่างถิ่นดูบ้าง หรือไม่ก็กล่าวอ้างลักษณะการทำงานที่อาจมีผลกระทบต่อคนรู้จักคุ้นเคยหากต้องทำงานในภูมิลำเนาของตน นั่นเป็นเหตุผลส่วนตัวในมุมมองที่ไม่กว้างมากนัก ในขณะที่อีกมุมมองหนึ่ง ซึ่งหากพิจารณาโดยภาพรวมในมุมของวิถีชีวิตของคนทั่วไป ผมมองว่า การที่เราออกจากภูมิลำเนา อันเป็นพื้นที่คุ้นเคย เพื่อไปทำงาน หรือใช้ชีวิตในต่างถิ่นนั้น ก็เป็นสภาวการณ์ที่ส่งผลด้านบวกบางประการต่อชีวิต กล่าวคือ 1. เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ขยายมุมมองและโลกของเราให้กว้างขึ้น /ภาพโดย Ri_Ya จาก Pixabay/ จากการที่ได้พบปะผู้คน สถานที่ สิ่งแวดล้อม อากาศ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม วิถีชีวิต ตลอดจนความรู้ แนวคิด ที่มีความแตกต่างหลากหลายในแต่ละท้องถิ่น โดยสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น เปรียบเสมือนห้องเรียนที่มีชีวิต เพราะมีการเปลี่ยนแปลง เติบโตอยู่ตลอดโดยไม่หยุดนิ่ง ทำให้เราสามารถสัมผัสและเรียนรู้ได้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น 2. เป็นการหล่อเลี้ยงให้เรามีการเจริญเติบโตมากขึ้น ในแง่ของการใช้ชีวิต จากการที่ต้องมีการปรับตัว ปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับพื้นที่ที่เราไปอยู่ เหมือนต้นไม้ที่ถูกย้ายจากพื้นที่เพาะกล้าคือมาตุภูมิ ออกไปปลูกลงดินในพื้นที่สวน ไร่นา ป่าเขา ทำให้ต้นไม้นั้นได้รับการหล่อเลี้ยงจากแร่ธาตุในดิน น้ำ แสงแดด จนขยายลำต้น แตกกิ่งก้านใบ ผลิออกออกผลได้ดีกว่าการที่ปล่อยให้เติบโตอย่างจำกัดอยู่ในแปลงเพาะกล้าไม้ 3. เป็นการกระตุ้นและหล่อหลอมความรู้สึกสำนึกรักบ้านเกิดอีกทางหนึ่ง /ภาพโดย Free - photo จาก Pixabay/ จากการที่ต้องจากบ้านไปไกล ธรรมชาติของคนเราย่อมมีความคิดถึงบ้านที่จากมา เหมือนคนที่เคยรักเคยผูกพัน เมื่อห่างกันก็จะยิ่งห่วงหาอาทรมากกว่าตอนที่พบเจอกันประจำ 4. เป็นการเพิ่มโอกาสในการกลับไปพัฒนาบ้านเกิด สืบเนื่องจากการที่ได้ไปเก็บเกี่ยวการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ในต่างถิ่นดังที่กล่าวในข้อ 1 ซึ่งอาจรวมถึงวิทยาการ ประสบการณ์ จุดเด่นของแต่ละภูมิภาค เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากสะสมพลังสำนึกรักบ้านเกิดดังที่กล่าวในข้อ 3 ก็จะเป็นแรงผลักดันให้นำเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ เก็บเกี่ยวสะสมนั้น กลับไปใช้ในการพัฒนา ปรับปรุง เติมเต็ม ท้องถิ่นอันเป็นบ้านเกิดของตนให้มีความทัดเทียมกับท้องที่อื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นคือ ผลดีของการจากบ้านไปทำงานหรือใช้ชีวิตต่างถิ่น ซึ่งผมหยิบยกขึ้นมา มิใช่เพียงแค่จะปลอบใจคนไกลบ้าน หากแต่ยังมุ่งหวังจะชี้ให้คนที่ยังไม่ได้กลับบ้าน ได้พิจารณาถึงแนวคิดด้านบวกของสภาวะที่เป็นอยู่ รวมถึงเป็นอีกมุมมองหนึ่งสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือญาติพี่น้อง ที่อาจจะไม่พึงประสงค์ให้คนในครอบครัวจากบ้านไปไกล ได้ลองมองให้เห็นอีกด้านหนึ่งของสิ่งที่(ดูเหมือนจะ) ไม่พึงประสงค์นั้น อย่างน้อยก็เพื่อเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะใช้ตอบคำถามที่ว่า "ทำไมถึงไม่กลับบ้าน..." ภาพปกบทความ จาก Pixabay