อื่นๆ
เส้นทางสายเก่า กับเรื่องเล่ามุมมองชนบทที่เปลี่ยนไป
ฉัน เด็กน้อยผู้เติบโตในหมู่บ้านชนบท ชีวิตในวัยเด็กของฉันถูกใช้ไปกับการพาตัวเองเข้าไปในห้องเรียนใบใหญ่ที่คนในชุมชนฉันใช้เป็นตู้กับข้าว หลังเลิกเรียนฉันกับเพื่อนจะชวนกันไปหาปูนา ส่วนช่วงวันหยุดจะไปหาปลา แมงดา เก็บเห็ด ขุดกุดจี่ ยิงกิ้งก่า ฯลฯ ชีวิตในวัยเด็กของฉันอิงแอบไปตามวิถีชนบทฉันรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ออกไปสัมผัสกับโลกใบกว้าง เสียงคุณยายข้างบ้านที่ชวนออกไปหาปลาในท้องทุ่งเป็นเสียงที่ยังคงดังก้องอยู่ในใจฉันหลงใหลเสียงหยอกล้อกันในกลุ่มผองเพื่อนระหว่างที่ไปเก็บเห็ดเป็นเสียงที่ฉันอยากจะได้ยินมันบ่อยครั้งภาพของลุงป้าน้าอาที่แบกจอบกับตะกร้าที่ข้างในเต็มไปด้วยน้ำดื่มและอาหารเพื่อไปทำงานในผืนนาเป็นภาพที่ฉันยังอยากจะเห็นทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ภาพต่างๆพร้อมกับเรื่องราวที่ฉันได้พบเจอในช่วงวัยเด็กค่อยๆเลือนไปตามกาลเวลาใครกันหนาที่ทำให้ภาพวิถีมันเปลี่ยนไปจากเดิม หรือตัวเราเองที่มองภาพของวิถีชนบทเปลี่ยนไป
Advertisement
Advertisement
หลังจากหอบหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านเพื่อออกไปตามหาความฝันที่สถาบันการศึกษาในเมืองใหญ่ ความรู้สึกในตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ออกไปเรียนรู้โลกกว้างและรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ออกไปวิจัยชีวิตในเมืองใหญ่เพราะก่อนหน้านี้ตั้งใจแล้วว่าจะขอเข้าไปเรียนในเมืองใหญ่เพื่อที่อยากจะเรียนรู้วิถีชีวิตของคนเมืองว่าเหมือนหรือแตกต่างกับคนชนบทอย่างไร แล้วเมืองมีดีอะไรทำไมคนถึงชอบอพยพเข้ามาอยู่ หลากหลายคำถามที่ทำให้ฉันอยากค้นหาคำตอบ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันเลือกเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่
ฉันเลือกเรียนในสาขาที่เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน เพราะฉันเติบโตมาจากครอบครัวที่ทำงานด้านนี้โดยตรง คุณปู่เป็นแกนนำในการก่อตั้งกลุ่มชูชกสะอื้น(กลุ่มที่ส่งเสริมการทำเกษตรแบบพึ่งพาตัวเองโดยทำงานร่วมกับปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่)ให้กับชาวบ้าน ส่วนคุณพ่อเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่คอยให้ความรู้กับชาวบ้านที่สนใจวิถีการดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบกับความสนใจส่วนตัวที่คิดว่าสาขานี้จะช่วยไขคำตอบที่อยากจะรู้เกี่ยวกับการพัฒนา เมื่อฉันเรียนไปได้สักพักฉันรู้สึกว่ามุมมองเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนของฉันค่อยๆชัดขึ้น แต่สิ่งที่สวนทางกลับกลายเป็นว่าฉันค่อยๆห่างจากวิถีชนบท วิถีเดิมๆที่ฉันเคยใกล้ชิด แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ฉันเริ่มตั้งคำถามอีกครั้งว่าใครกันนะที่ทำให้รู้สึกว่าวิถีชุมชนเป็นเรื่องที่ค่อยๆไกลตัวออกไปๆ หรือว่าการศึกษากันนะที่แยกคนออกจากพื้นที่ความเป็นชุมชน หรือตัวเรากันแน่นะที่กำลังเดินออกห่างความเป็นชุมชนโดยที่เราไม่รู้ตัว
Advertisement
Advertisement
ในช่วงที่ฉันเรียนฉันมีโอกาสกลับบ้านอยู่บ่อยครั้งในช่วงเทศกาลสำคัญๆและในช่วงที่หัวใจฉันเรียกร้องให้กลับบ้าน ฉันรู้ซึ้งถึงคำว่าไม่มีที่ใดสุขใจเท่าบ้านเราก็เมื่อวันที่ฉันก้าวเก็บกระเป๋าออกจากบ้านเพื่อไปตามหาความฝันในเมืองใหญ่ ทุกๆครั้งที่กลับบ้านฉันมักจะมองลอดผ่านกระจกออกไปยังสองข้างทางภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน พื้นที่ที่เคยเป็นป่าบัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัย ร้านรวงต่างๆผุดขึ้นมากมาย ฉันตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันก็ได้แค่คิดและเก็บความสงสัยเอาไว้เพื่อหาคำตอบ ความแปลกใจและเครื่องหมายคำถามที่เกิดขึ้นในหัวไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น แม้แต่หมู่บ้านที่ฉันเติบโตก็มิวายทัดทานกระแสของการเปลี่ยนแปลง ถนนหนทางที่เคยเป็นดินลูกรัง กลับถูกแทนที่ด้วยถนนคอนกรีต ชาวบ้านในชุมชนบางส่วนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวต่างมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อไปหางานทำ ฉันอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความเป็นชุมชนในปัจจุบัน แต่ฉันก็พอจะมีคำตอบที่สำรองอยู่ในใจแล้วว่าวิถีชุมชนที่เปลี่ยนไปมันคงจะมีขึ้นเพื่อให้ผสานไปกับการเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอก ไม่แน่นะเครื่องหมายคำถามที่เกิดขึ้นในหัวของฉันมันอาจจะเป็นผลมาจากการที่ฉันไปหยุดภาพของความเป็นชนบทไว้ด้วยสายตาในวัยเยาว์
Advertisement
Advertisement
เย็นย่ำวันหนึ่งในห้วงวันของวันที่หัวใจกลับบ้าน ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับพ่อตามประสาพ่อลูก นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้มีโอกาสได้พูดคุยกัน เราต่างไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน ความห่างไกลทำให้ประโยคสนทนาขาดช่วงอยู่หน่อยๆ พ่อคนที่ฉันแทบจะไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรด้วยมาก ตั้งแต่ฉันจำความได้ฉันเห็นพ่อทำงานพัฒนาชุมชนมาโดยตลอด ทำตั้งแต่ตอนที่พ่อรับราชการครูจนปัจจุบันพ่อผันตัวเองมาเป็นปราชญ์ชาวบ้านอย่างเต็มตัว งานหลักๆของพ่อคือการให้ความรู้เกษตรกรโดยการประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับวิถีการเกษตร ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นเครื่องชี้ชัดว่าวิถีการปฏิบัติดังกล่าวสามารถทำได้จริงและไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ นอกจากนั้นพ่อยังได้ถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรด้วยการเปิดอบรมหลักสูตร วปอ. ภาคประชาชน(ที่เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรที่เข้าอบรมผ่านหลักอริยะสัจ 4) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสานร่วมกันคิดค้นขึ้นเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเกษตรกร จริงๆแล้วรูปแบบของการอบรมดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วแต่แค่เอามาเรียงร้อย จัดระบบให้เห็นได้ชัด และให้สามารถจับต้องได้ง่ายขึ้น
พ่อคนที่คอยทำให้ฉันเห็นว่าวิถีเกษตรพึ่งตนเองและอิงแอบไปกับภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็นสิ่งที่จะต่อสู้กับความยากจนของเกษตรกรได้ ฉันเชื่อว่ามันจะคานกับกระแสของวิถีการพัฒนาในปัจจุบันได้ วิถีการพัฒนาที่อิงแอบไปกับภูมิปัญญา วิถีการพัฒนาที่เราอาจจะหลงลืม การที่จะฟื้นให้วิถีดังกล่าวกลับมามีพลังอีกครั้งมันอาจจะจำเป็นต้องมีผู้ที่หยิบยกเรื่องราวที่เป็นวิถีภูมิปัญญาที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมามาทำให้มันเป็นรูปธรรมเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง “ ปราชญ์ชาวบ้าน ” คงจะเป็นหนึ่งในนั้นที่ทำให้ชาวบ้านตระหนักเห็นว่าวิถีที่เราเคยปฏิบัติกันมา การเฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน จะช่วยให้เราอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นคง ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับปราชญ์ เขาบอกว่า “ ปราชญ์ชาวบ้าน คือ บุคคลที่ได้รับการยกย่องเป็นผู้ทรงภูมิปัญญา ได้แก่ ผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญด้านต่างๆ ซึ่งครอบคลุมไปถึงบุคคลที่พยายามแก้ปัญหาการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ โดยใช้ความรู้จากประสบการณ์ตรงของตนหรือด้วยความเพียร พยายามปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆจนแนวคิดและการปฏิบัติเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางและมีการเผยแพร่ให้บุคคลที่สนใจ หรือ จากบุคคลรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง” ฉันว่าบทบาทปราชญ์ในความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น ปราชญ์ชาวบ้านไม่ได้เป็นหมากตัวหนึ่งของรัฐที่คอยเอาไว้ขับเคลื่อนการครอบงำให้คนในชนบทเชื่อในแนวทางการพัฒนาที่ตนคิดว่ามันเหมาะสม แต่ปราชญ์ชาวบ้าน คือ ผลผลิตทางภูมิปัญญาของชุมชนที่ช่วยสานต่อและหยิบยกวิถีการดำเนินชีวิตที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเพื่อให้ทุกคนเชื่อมั่นในวิถีภูมิปัญญาและไม่หลงลืมรากเหง้าของตนเอง
หลายต่อหลายครั้งที่ฉันหลงลืมอะไรไปบางอย่างและหลายต่อหลายครั้งที่ฉันเอาสายตาของคนนอกไปตัดสินความเป็นชุมชน พ่อผู้ซึ่งเป็นผู้จุดประกายงานด้านพัฒนาชุมชนให้กับฉันมักเป็นผู้ที่คอยเตือนสติฉันเสมอ การฝักใฝ่ในความคิดและความเชื่อของตัวเองบางทีมันก็อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์มันก็คงไม่ต่างอะไรกับแนวทางการพัฒนาชุมชนที่มีหลากหลายรูปแบบ การจะหยิบเอาแนวทางใดแนวทางหนึ่งมาใช้คงจะเป็นเรื่องที่ดูจำกัดนัก ฉันเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าแล้วแนวทางการพัฒนารูปแบบใดที่เป็นแนวทางที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ว่าวิถีการพัฒนาแบบใดมันจะดีที่สุด แต่มันสำคัญที่ว่าวิถีการพัฒนาแบบใดที่จะพยุงให้คนในชุมชนไม่หลงลืมรากเหง้าของตนเอง และในขณะเดียวกันก็สามารถขับเคลื่อนจังหวะของชีวิตล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลก พ่อผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์อีสานเป็นเครื่องสะท้อนที่ทำให้ฉันเห็นว่าพ่อไม่ได้ยึดติดกับวิถีปฏิบัติที่อิงแอบไปกับภูมิปัญญาเพียงอย่างเดียว แต่กลับมีการปรับวิถีชีวิตแบบผสมผสาน โดยประยุกต์ระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ อะไรดีควรนำมาใช้ทั้งเก่าและใหม่ แนวคิดของพ่อช่วยให้ฉันมองภาพความเป็นชนบทในมุมมองที่เข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น สรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งอย่างเป็นของไม่เที่ยง เราไม่ควรยึดติดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สิ่งที่เราควรจะทำคือการทำความเข้าใจและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อาจจะมีการหยิบยืมแนวความคิดเพื่อนำมาประยุกต์กับแนวคิดเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อให้สามารถล้อไปกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนสังคมโลกใบนี้ แท้ที่จริงคำตอบอาจจะไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านตามที่หลายคนเข้าใจ แต่คำตอบอาจจะอยู่ใกล้ๆกับตัวเรา ลองขยับแว่นหน่อยไหมเผื่อจะได้เห็นชนบทที่ไม่ยึดติดกับสายตาในวัยเยาว์
ภาพประกอบโดยผู้เขียน
ความคิดเห็น