ความเดิมตอนที่แล้วผมจบเนื้อความลงที่ริมรั้ววัดเทพธิดาราม โปรแกรมคือ เสาชิงช้า โลหะปราสาท ภูเขาทอง ตามคำแนะนำของน้องจันทร์ เดินกันต่อ เริ่มต้นวัดที่อยู่ติดกันวัดราชนัดดารามครับ วัดราชนัดดารามสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นวัดที่มีการสร้างโลหะปราสาทแห่งแรกของไทย เป็นแนวคิดแบบใหม่แทนการสร้างเจดีย์ โลหะปราสาทหลังนี้ถือเป็นโลหะปราสาทองค์ที่ 3 ของโลก มีลักษณะเป็นศิลปสถาปัตยกรรมแบบไทย เป็นปราสาท 3 ชั้น ตรงกลางปราสาทเป็นบันไดวนสามารถเดินจากชั้นล่างถึงชั้นบนสุดด้วยบันไดเวียน 67 ขั้น มียอด 37 ยอด ยอดปราสาทประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เดิมทีวัดราชนัดดาและโลหะปราสาทไม่สามารถมองเห็นได้จากริมถ.ราชดำเนินได้เพราะโรงภาพยนต์ศาลาเฉลิมไทยตั้งขวางอยู่ โรงภาพยนต์ศาลาเฉลิมไทยเป็นโรงภาพยนต์แห่งแรกของไทยที่สร้างในสมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม ต่อมาได้มีการรื้ออาคารโรงภาพยนต์ศาลาเฉลิมไทยออกเพื่อปรับภูมิทัศน์ในบริเวณนี้ให้สวยงามและเปิดประตูสู่เกาะรัตนโกสินทร์ นอกจากนั้นยังมีการสร้างลานพลับพลาเจษฎาบดินทร์และพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่ มาดูกันครับว่าภายในโลหะปราสาทมีอะไรบ้าง โลหะปราสาทแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ชั้นที่ 1 เป็นส่วนการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของโลหะปราสาท ชั้นที่ 2 เป็นห้องสมุดธรรมะ ห้องทำสมาธิ เดินจงกรม ชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 ทรงโปรดเกล้าพระราชทาน บนชั้นนี้นอกจากการขึ้นมากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุแล้วยังได้ชมวิวกรุงเทพบนมุมสูงแบบ 360 องศาเป็นวิวที่สวยงามมากครับ โลหะปราสาทเก็บค่าเข้าชมต่างชาติ ท่านละ 20 บาท คนไทย 10 บาทครับ ลงจากโลหะปราสาท เข้าภายในพระอุโบสถ ภายในประดิษฐานพระประธานพระนามว่า "พระเสฏฐตมมุนี" จากนั้นเข้าวิหารกราบสักการะพระประธาน พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรพระนามว่า "พระพุทธชุติธรรมนราสพ" เดินออกจากวัดเป็นลานโล่งขนาดใหญ่ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ตั้งชื่อตามพระนามของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เป็นลานกว้างมีพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่ มีพลับพลาที่ประทับเพื่อที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงออกรับแขกบ้านแขกเมือง พื้นที่โดยรอบเป็นมีการจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับไว้อย่างสวยงาม จากนั้นเดินข้ามไปป้อมมหากาฬกันต่อครับ ป้อมมหากาฬ ตั้งอยู่บริเวณเชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ยุคสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ เป็น 1 ใน 14 ป้อมปราการ เป็น 1 ใน 2 ป้อมที่ยังเหลืออยู่ คือ ป้อมพระสุเมรุและป้อมมหากาฬและยังมีแนวกำแพงเก่าหลงเหลืออยู่บางส่วน เดิมทีพื้นที่หลังป้อมเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนตั้งแต่ยุคแรกสร้างกรุงเทพ ในยุคต้น ๆ เป็นที่พักอาศัยของขุนนางชั้นสูงหลายท่าน ช่วงต่อมาเป็นชุมชนที่มีชื่อเสียงด้านลิเกโบราณ รวมถึงเป็นแหล่งจำหน่ายดอกไม้ไฟ หรือพลุต่าง ๆ ปัจจุบันชุมชนได้ถูกรื้อย้ายไปกลายเป็นสวนสาธารณะอันร่มรื่น มีอาคารพระยาญาณประกาศ ท่าเรือเก่าสำหรับเจ้านายและขุนนางสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ตั้งอยู่ริมคลองโอ่งอ่าง ซึ่งกรมศิลปากรมีเป้าหมายจะประกาศเป็นขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานต่อไป ข้ามสะพานผ่านฟ้าไปอีกฝั่งจะเป็น พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพิพิธภัณฑ์ในความดูแลของสถาบันพระปกเกล้า เดิมเป็นที่ตั้งของกรมโยธาธิการ อาคารหลังนี้เป็นอาคารสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 6 - 7 ซึ่งสถาบันพระปกเกล้า ได้บูรณะเพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เดิมทีอาคารหลังนี้คือที่ทำการของห้างยอน แซมป์สัน แอนด์ ซัน ซึ่งเป็นสาขาของห้าง Messrs. Sam & Sampson & Son จำหน่ายผ้าและรับตัดเสื้อผ้า รองเท้า รวมทั้งอานม้าที่มีซื่อเสียงย่านบอนด์สตรีท ของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงชักชวนให้มาเปิดสาขาในกรุงเทพฯ เมื่อคราวเสด็จฯ ประพาสยุโรป เดิมทีทางห้างได้เช่าห้องแถว ณ ถนนพระสุเมรุ เพื่อประกอบกิจการ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่ลงทุนก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ขึ้นที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เพื่อให้ห้างนี้เช่าเป็นสำนักงานใหญ่โดยเฉพาะ ต่อมาอาคารหลังนี้เป็นที่ทำการของห้าง สุธาดิลก จำหน่ายวัสดุก่อสร้างและเครื่องสุขภัณฑ์สมัยใหม่ รวมทั้งตะเกียงเจ้าพายุ เครื่องแก้ว และรถสามล้อและสุดท้ายเป็นการเช่าของกรมโยธาธิการ จนถึงปี พ.ศ.2538กรมศิลปากรจึงได้ขึ้นทะเบียน และกำหนดเขตที่ดินและอาคารเป็นพื้นที่โบราณสถาน กรมโยธาธิการได้เช่าอาคารแห่งนี้จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จนถึง พ.ศ. 2544 จึงได้มอบสิทธิการเช่าให้แก่สถาบันพระปกเกล้า เพื่อใช้เป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 (ข้อความและเนื้อหาบางส่วน Cr. วิกิพีเดีย) เดิมทีในโปรแกรมของผมหลังจากนี้จะขึันภูเขาทองแห่งวัดสระเกศ แต่ด้วยความอ่อนล้าคงขึ้นไม่ไหวแน่ต้องเป็นโอกาสหน้าแล้วครับ ผมตัดสินใจเดินไปที่อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ อาศัยหลบร้อนนั่งพักสักครู่ก่อนกลับบ้าน