มีสาเหตุหลายประการที่บุคคลหรือคู่สามีภรรยาอาจขอความช่วยเหลือจากนักบำบัดทางเพศ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าประมาณ 43 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงและ 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชายกำลังมีปัญหากับความผิดปกติทางเพศ เช่น การหลั่งเร็ว มีอาการเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์ นกเขาไม่แข็งตัว ไม่มีอารมณ์กับคู่รัก เป็นต้น แต่ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปเมื่อหันไปปรึกษากับนักบำบัดทางเพศที่สามารถช่วยได้เมื่อเรานั้นได้พูดคุย ปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อหาทางออกที่ถูกต้อง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าแล้วเราจะหานักบำบัดทางเพศที่เหมาะกับปัญหาของเราได้อย่างไรถึงจะเจอทางออกที่เหมาะสม อันนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยมาดูเคล็ดลับและตั้งคำถามกับตังเองต่อไปนี้กันเพื่อหาคำตอบนี้ให้กับตัวคุณเองและคู่รัก เครดิตภาพโดย Anh Nguyễn Duy จาก Pixabay 1. ถามตัวเองหรือคู่รักว่าพร้อมสำหรับการบำบัดหรือไม่ อันนี้ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญก่อนที่จะไปค้นหาคนที่จะมาบำบัดเพราะหลายคนมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรจึงละเลยจนบางครั้งปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าที่จะแก้ได้ การถามตัวเองและคู่รักเป็นการให้แน่ใจว่าต้องการที่จะเข้ารับการบำบัดจริงหรือไม่ Megan Fleming นักบำบัดทางเพศในนครนิวยอร์ก กล่าวว่า “ผู้คนมักจะกังวลที่จะเข้ารับการบำบัดนี้เพราะกลัวถูกว่านี่คือสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นและไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่มันเป็นความคิดที่ผิดหากยังอยากมีชีวิตคู่ที่มีความสุข” เพราะฉะนั้นแล้วการเริ่มต้นด้วยคำถามง่าย ๆ แบบนี้เป็นการหาปัญหาที่ท้จริงและหาการรักษาที่ถูกทาง 2. ตรวจสอบคุณสมบัติของนักวิจัย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราเองนั้นสามารถตรวจสอบได้ด้วยการขอดูใบรับรองทางการรักษาของนักบำบัดทางเพศเพื่อให้แน่ใจว่านักบำบัดทางเพศนั้นมีคุณสมบัติที่จะช่วยคู่รักของเราได้ แต่กว่าที่จะได้มาเป็นนักบำบัดทางเพศนั้นต้องมีใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ ด้านจิตวิทยา ต้องได้รับการอบรมการบำบัดผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านจิตเวช 90 ชั่วโมง และการอบรมเกี่ยวกับเรื่องเพศ 60 ชั่วโมง และต้องมีประสบการณ์ด้านนี้พอสมควรถึงจะได้ใบประกาศนียบัตรเพื่อรับรองการเป็นนักบำบัดทางเพศ เพราะฉะนั้นแล้วก่อนจะรักษากับแพทย์คนใดควรที่จะตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อนจะดีกว่า เครดิตภาพโดย jennycepeda จาก Pixabay 3. หานักบำบัดทางเพศเผื่อไว้ นักบำบัดทางเพศนั้นมีหลายคนที่ให้คำปรึกษาในเรื่องนี้ และแต่ละคนนั้นก็จะมีวิธีการบำบัด การให้ข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป การเข้าพบนักบำบัดทางเพศก่อนอื่นต้องเตรียมตัวให้พร้อม สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าพบนักบำบัดเพศเพียงคนเดียวก่อนเพื่อพูดถึงปัญหาของแต่ละบุคคลหลังจากนั้นก็ค่อยเข้าพบเป็นคู่เพื่อจะได้สอบถามและพูดคุยถึงปัญหาของแต่ละฝ่ายอย่างแท้จริง และต้องให้ข้อมูลกับนักบำบัดทางเพศที่เลือกเผื่อไว้เป็นคำถามเดียวกันด้วยแล้วค่อยมาพิจารณาว่าจะรักษากับนักบำบัดทางเพศคนใดจากข้อมูลที่เราได้ 4. สอบถามเรื่องแผนการรักษา เมื่อได้เริ่มพูดคุยกันแล้ว ทำความรู้จักและทำความเข้าใจกันคร่าว ๆ ก็ได้เวลาที่จะสอบถามเกี่ยวกับแผนการรักษาขั้นต่อไป เพื่อจะได้รู้เรื่องระยะเวลา วิธีการบำบัด รวมถึงค่าใช้จ่าย ในการบำบัดด้วย เพราะหากรู้ระยะเวลาตัวเราเองและคู่รักสามารถรู้ถึงพัฒนาการของการแก้ไขปัญหาด้วย เครดิตภาพโดย Sasin Tipchai จาก Pixabay 5. ติดตามความคืบหน้าของการบำบัด เมื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดครั้งที่หนึ่งหรือสอง คราวนี้ถึงเวลาที่จะต้องมาประเมินความก้าวหน้ากับนักบำบัดทางเพศว่าแผนการรักษานั้นใช้ได้ผลดีหรือไม่เพราะหากแผนการรักษาในครั้งที่หนึ่งหรือสองไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือไม่มีการพัฒนาขึ้นนั่นอาจจะแสดงว่าการรักษาหรือนักบำบัดคนนั้นอาจจะรักษาไม่ตรงกับปัญหาที่เราต้องการแก้ไขก็ได้ อาจจะต้องเปลี่ยนนักบำบัดทางเพศคนอื่นเพื่อให้เห็นผลได้มากขึ้นกว่าเดิม การเลือกนักบำบัดทางเพศนั้นสำคัญพอ ๆ กับการกินยาที่ถูกโรค เพราะนั่นเป็นตัวชี้ว่าอาการที่เรากำลังรักษานั้นถูกต้องและกำลังจะดีขึ้นในไม่ช้า การบำบัดทางเพศไม่ใช่เรื่องน่ากลัวและไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจแต่กลับเป็นการดีสำหรับคู่รักที่ต้องการความรักความหวานชื่นซู่ซ่ากลับมาอีกครั้งในชีวิตคู่ เพราะไม่มีคู่รักคู่ไหนอยากจะจบชีวิตคู่พียงแค่เรื่องบนเตียงอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้วการเปิดใจสอบถามปัญหาและกล้าพูดคุยเรื่องเพศกับคู่ชีวิตสอบถามปัญหากันอย่างเปิดเผยมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการมีชีวิตคู่ที่ลงตัวสำหรับเรื่องความรักและเรื่องบนเตียง เครดิตภาพปกโดย mohamed Hassan จาก Pixabay