2 ทีมที่จะเข้าไปชิงถ้วย เอฟ.เอ.คัพ อังกฤษปีนี้ก็คือ เลสเตอร์ ซิตี้ กับ เชลซี ซึ่งนอกจากถ้วย เอฟ.เอ.คัพ แล้วทั้ง 2 ทีมยังคงเป็นคู่ขับเคี่ยวแย่งอันดับ 3 และ 4 ในตารางพรีเมียร์ลีกกันอีกด้วย แถมในช่วงโค้งสุดท้ายหลังการเตะแย่งถ้วยเอฟ.เอ.คัพ ในวันที่ 15 พ.ค. ทั้งคู่ยังมีโปรแกรมเจอกันในพรีเมียร์ลีกวันที่ 20 พ.ค. อีกด้วย ทั้ง 2 ทีมถือเป็นคู่ชิงที่เหมาะสมในปีนี้ เพราะอันดับในตารางพรีเมียร์ลีกปีนี้ ณ ปัจจุบันก็อยู่ติดกัน โดย เลสเตอร์ อันดับ 3 และเชลซี อันดับ 4 ขณะที่เส้นทางการเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษในปีนี้ แม้ว่าโดยรวมๆจะไม่หนักมากนัก แต่ทั้งคู่ก็หักด่านทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ ที่มีอันดับเหนือกว่าในตารางพรีเมียร์ลีกมาได้เหมือนๆกัน ซึ่ง เลสเตอร์ หักด่านผ่าน แมนฯยูไนเต็ด มาในรอบก่อนรองชนะเลิศ 3:1 ส่วน เชลซี ก็ดับความหวัง 4 แชมป์ของ แมนฯ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศ มาได้ 1 : 0 ก็ต้องถือว่าฟอร์มโดยรวมของทั้ง 2 ทีมไม่แตกต่างกันมากนัก อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าตั้งแต่เริ่มศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา เชลซี ถือว่ามีผลงานดีในถ้วยใบนี้โดยเข้าชิงได้ถึง 8 ครั้งเท่าๆกับ อาร์เซนอล แต่ว่าได้แชมป์ไป 5 ครั้ง ขณะที่ อาร์เซนอล ได้ไปถึง 7 ครั้งเลยทีเดียว และหากนับรวมทั้งหมด เชลซี เคยผ่านเข้าชิง 14 ครั้ง ประสบความสำเร็จคว้าถ้วยไปครอง 8 ครั้ง ส่วนทางด้านของ เลสเตอร์ ก็ต้องบอกว่าประวัติศาสตร์เป็นรองแบบสุดกู่เพราะไม่เคยสัมผัสกับ แชมป์ ในถ้วยใบนี้เลยสักครั้ง แม้จะมีโอกาสเข้าถึงรอบชิงได้ 4 ครั้งก็ตาม อย่างไรก็ดีการเข้าชิงครั้งสุดท้ายก็ผ่านมา 53 ปีแล้ว ดังนั้นตามนิสัยคนไทยส่วนใหญ่ที่ชอบเชียร์ทีมรอง อีกทั้ง เลสเตอร์ ยังมีเจ้าของทีมเป็นคนไทย เชื่อว่าน่าจะมีคนจำนวนมาก เชียร์ให้ เลสเตอร์ สร้างประวัติศาตร์ได้แชมป์เอฟ.เอ.คัพ เป็นสมัยแรก หลังจากเคยสร้างตำนานเทพนิยายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วเมื่อฤดูกาล 2015/16 และหากทำได้จริงจะถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จากการบริหารทีมโดยเจ้าของคนไทยตระกูลศรีวัฒนประภา อีกครั้งหนึ่ง ทว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ เลสเตอร์ จะสร้างประวัติศาสตร์ให้เกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะ เชลซี หลังจาก โธมัส ทูเคิ่ล เข้ามาคุมทีมสามารถสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นจนมีโอกาสที่จะเข้าไปชิงชนะเลิศในถ้วยใบใหญ่ของยุโรปด้วย อย่างไรก็ตามหากสามารถเข้าไปสู่รอบชิงถ้วยแชมเปี้ยนลีกได้จริงๆ มันก็อาจจะทำให้โฟกัส ความมุ่งมั่นในถ้วยเอฟ.เอ.คัพ ลดน้อยลงไปก็ได้ ดังนั้นมันก็อาจทำให้ เลสเตอร์ ที่ดูแล้วตัวผู้เล่นอาจจะเป็นรองอยู่เล็กน้อย แต่ว่าน่าจะมีแรงกระตุ้นและความมุ่งมั่น ที่น่าจะมากกว่ามีโอกาสเป็นผู้ชนะได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามโปรแกรมก่อนจะถึงเกมนัดชิงของทั้ง 2 ทีม ต้องบอกว่า เชลซี เจอเกมหนักทีเดียว เพราะต้องตัดกับ รีล มาดริด ในนัดที่ 2 วันที่ 6 พ.ค. แม้นัดแรกจะได้อเวย์โกล มาก่อน แต่คงไม่ง่ายๆที่จะล้มแชมป์ยุโรป 13 สมัยลงได้ จากนั้นเพียง 2 วันก็ต้องเจอกับว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง แมนฯซิตี้ และในวันที่ 13 พ.ค. หากไม่มีการเลื่อนก็ต้องทำศึกลอนดอนดาร์บี้กับ อาร์เซนอล ไม่รู้ว่าสภาพพอถึงวันที่ 15 พ.ค.จะเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนทางฝั่ง เลสเตอร์ วันที่ 8 พ.ค. เจอกับ นิวคาสเซิ่ล ส่วน 13 พ.ค. พบกับ แมนฯยูไนเต็ด ถือว่าเป็นงานที่ไม่หนักมากนัก เพราะ นิวคาสเซิ่ล สถานการณ์การหนีตกชั้นก็ไม่ได้วิกฤตมากนักเพราะมีคะแนนนำทีมที่จะตกชั้นถึง 9 คะแนนแถมแข่งน้อยกว่าอีก 1 นัด ส่วน แมนฯ ยู ก็คงไล่ แมนฯ ซิตี้ ไม่ทันอยู่แล้ว ดังนั้นทั้งสภาพร่างกายและสภาพจิตใจ เลสเตอร์ น่าจะได้เปรียบอยู่พอสมควร และหากให้ฟันธง...ต้องบอกว่า เลสเตอร์ จะสร้างประวัติศาตร์คว้าแชมป์เอฟ.เอ.คัพ ได้เป็นครั้งแรก ลบล้างความผิดหวังพ่ายแพ้ในรอบชิงมา 4 ครั้งได้สำเร็จ เครดิตภาพ : sport.trueid ภาพที่ 1 , ภาพที่ 2 , ภาพที่ 3 , ภาพที่ 4 ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID