ข่าวคราวการฟ้องร้องเพื่อขอรับรองบุตรของดาราชายยอดนิยมกับอดีตนางแบบสาวกำลังเป็นที่จับตามองของคนทั้งประเทศ เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าไอ้การรับรองบุตรนั้นมันสำคัญอย่างไร และอีกเรื่องที่ผู้เขียนคิดว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน คือ เรื่องค่าเลี้ยงดูบุตร ถ้าหากเราตัดสินใจจะหย่าขาดจากกัน เราจะเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรได้อย่างไร จะได้มากได้น้อยเท่าไหร่ มันมีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง วันนี้ผู้เขียนจะรวบรวมข้อมูลมาไขข้อข้องใจให้ฟังกันนะคะข้อแรก การรับรองบุตรสำคัญอย่างไร ? การรับรองบุตรมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พ่อแม่เด็กไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ถ้ามีเหตุให้ต่อมาทั้งคู่เลิกรากันโดยมีลูกด้วยกัน เกิดฝ่ายชายทำชิลไม่ช่วยค่านมค่าผ้าอ้อมลูก อยู่ ๆ แม่เด็กจะไปฟ้องร้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรเลยไม่ได้นะจ๊ะ ต้องให้พ่อเด็กเค้ารับรองบุตรเสียก่อน เพราะในทางกฎหมาย “การที่บิดาเซ็นรับรองบุตร” จะทำให้เด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา ซึ่งหมายความว่า บิดาก็ต้องมีสิทธิและหน้าที่ต่อบุตรตามที่กฎหมายกำหนด เช่น บิดามีหน้าที่ส่งเสียเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น ดังนั้นทันทีที่การรับรองบุตรเกิดขึ้นก็เท่ากับว่า บิดามีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องส่งเสียบุตรของตน ซึ่งเป็นผลให้มารดามีสิทธิที่จะฟ้องร้องขอค่าเลี้ยงดูบุตรได้นั่นเองข้อสอง นอกจากการให้พ่อเด็กเซ็นต์รับรองบุตรแล้ว ในกรณีที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ยังมีวิธีใดอีกบ้างที่แม่เด็กจะเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรได้ ?ยังมีอีก 2 วิธีนะจ๊ะแม่กับพ่อเด็กจดทะเบียนสมรสกันภายหลังแม่ขอให้ศาลพิพากษาว่า เด็กเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายของพ่อ นอกจากนี้การเซ็นรับรองบุตรยังส่งผลต่ออนาคตของเด็ก ในกรณีที่ถ้าเกิดบิดาไปมีครอบครัวใหม่ เกิดลูกเต้าขึ้นมากับผู้หญิงคนใหม่ เด็กที่เป็นลูกของภรรยาเดิมก็ยังได้สิทธิในกองมรดกของบิดา ในฐานะของการเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วยข้อสาม ในการเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร จะเรียกได้มากน้อยแค่ไหน ใช้หลักเกณฑ์อะไรพิจารณา ? ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1564 ระบุว่าเป็นหน้าที่ของบิดามารดา มีหน้าที่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่บุตรตามสมควรอย่างลูกหนี้ร่วม นอกจากนี้ใน ป.พ.พ. มาตรา 296 ยังระบุว่าหน้าที่ของพ่อและแม่มีความรับผิดชอบร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม เว้นแต่ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น(เช่น การทำข้อตกลงร่วมกันไว้ท้ายใบหย่า ระบุไว้ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเลี้ยงดูบุตร) สองข้อนี้คำแปลเป็นภาษาชาวบ้านให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ก็คือพ่อและแม่มีหน้าที่เหมือนเป็นลูกหนี้ร่วมของลูก ดังนั้นค่าเลี้ยงดูจึงเป็นสิ่งที่พ่อและแม่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ในทางปฏิบัติศาลจะพิจารณาให้ฝ่ายจำเลยต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้กับโจทย์เมื่อฝ่ายที่ควรได้รับค่าเลี้ยงดูไม่ได้รับการเลี้ยงดู หรือได้รับไม่เพียงพอแก่อัตภาพจำนวนเงินของค่าอุปการะเลี้ยงดูจะมากน้อยแค่ไหน ศาลจะพิจารณาจาก ฐานะความสามารถของผู้ให้ และฐานะของผู้รับ และพฤติการณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/38ข้อสี่ ถ้าต่อมาพฤติการณ์ของรายได้ หรือ ฐานะของคู่กรณีเปลี่ยนแปลงไป คู่กรณีจะขอร้องต่อศาลแก้ไขเปลี่ยนแปลง ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้หรือไม่ ? สมมติว่าต่อมาผู้ให้ค่าเลี้ยงดูมีรายได้เปลี่ยนแปลงไป เช่น มีรายได้มากขึ้น ผู้รับค่าเลี้ยงดูเกิดลูกโตขึ้นมามีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ผู้รับค่าเลี้ยงดูก็สามารถร้องต่อศาลขอเพิ่มค่าเลี้ยงดูได้ แต่ศาลจะตัดสินยังไงก็คงต้องดูในรายละเอียดของทั้งคู่อีกที สรุปก็คือการจะเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรจะได้มากหรือน้อยแค่ไหน ขึ้นกับรายได้ ฐานะทางการเงินของผู้ให้ รวมทั้งฐานะการเงินและความจำเป็นของผู้รับ ไม่ใช่ว่าจะเรียกเท่าไหร่ก็ได้ตามความพอใจ เพราะกฎหมายก็กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า พ่อและแม่มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบค่าเลี้ยงดูร่วมกัน ดังนั้นถึงจะขอไปเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าศาลมองว่ามันเว่อร์ไป ศาลท่านก็คงไม่ให้อยู่ดี รายละเอียดเกี่ยวกับการฟ้องร้องเรียกค่าเลี้ยงดู ยังมีเนื้อหาแยกย่อยอีกมาก ซึ่งหากเพื่อน ๆ ต้องการทราบข้อมูลเชิงลึก ผู้เขียนแนะนำให้เพื่อน ๆ ลองปรึกษาทนายที่มีความเชี่ยวชาญด้านคดีครอบครัวดูนะคะ จะทำให้ได้ข้อมูลที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขอขอบคุณข้อมูลจาก8 เรื่องต้องรู้ พร้อมวิธีฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ที่ศาลใช้พิพากษาในการฟ้องกันในคดีวิธีการขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงค่าอุปการะเลี้ยงดู บุตรหรือคู่สมรสทำได้หรือไม่ เครดิตที่มารูปภาพ ภาพปก, ภาพประกอบ1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4